หุ้นพุ่งทะลุ 1,800 จุด

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่เปิดปีใหม่ 2561 ดัชนีตลาดหุ้นทำสถิติสูงกว่า 1,800 จุด เมื่อมาดูขนาดมาร์เก็ตแค็ปที่ 18 ล้านล้านบาท และระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (พีอี) 18 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอาเซียน ขอแนะนำนักลงทุนว่าต้องดูหุ้นรายตัว ว่าจะให้ผลตอบแทนหรือมีคาดการณ์อย่างไร โดยเงินที่เข้ามาในตลาดหุ้นขณะนี้ไม่ถือว่าเป็นเงินร้อนและไม่ใช่ปริมาณที่ผิดปกติ เพราะตามหลักสากลนักลงทุนสามารถหมุนเงินออกไปได้ หากตลาดอื่นมีผลตอบแทนที่ดีกว่า

นายสันติ กีระนันทน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นระดับ 1,800 จุด ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น เพราะลุ้นว่าอาจจะไปถึง 1,900 จุดหรือไม่ ซึ่งดัชนีมีขึ้นมีลง เพราะฉะนั้น เหตุการณ์เหล่านี้ไม่สามารถคาดหมายได้ เป็นเพียงประมาณการเบื้องต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เปิดทำการปีใหม่วันที่ 3 มกราคม 2561 ดัชนีตลาดหุ้นปรับขึ้นสูงกว่า 1,800 จุด ทำลายสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับแต่เปิดซื้อขายในปี 2518 หลายครั้ง มีหลายฝ่ายประเมินว่าอาจได้เห็นหุ้นในระดับ 1,900-2,000 จุด ซึ่งสถานการณ์หุ้นที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคมเรียกว่า January effect เป็นผลจากนักลงทุนกลับมาซื้อหุ้นหลังจากหยุดยาวในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่

ธปท.จี้แบงก์สำรองหนี้เสีย

นางกิตติยา โตธนะเกษม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปี 2561 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เริ่มให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งสำรองหนี้เสียและทดลองบันทึกบัญชีตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ (IFRS9) ที่จะเริ่มใช้จริงในปี 2562 โดยให้จัดทำเพื่อรายงานข้อมูลแก่ ธปท. ในช่วงเดือนมิถุนายนและธันวาคมของปี ซึ่ง ธปท. จะประมวลข้อมูลต่างๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ก่อนจะนำมากำหนดใช้อย่างเป็นทางการต่อไป สำหรับมาตรฐานดังกล่าวธนาคารประเมินว่าจะต้องสำรองหนี้ฯ เข้มงวดมากขึ้นกว่าเกณฑ์ปัจจุบัน ดังนั้น ธนาคารจึงเริ่มทยอยตั้งสำรองไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2560 ในช่วงไตรมาส 3-4 โดยได้ตั้งสำรองเพิ่มจากสำรองปกติไตรมาสละ 2,500 ล้านบาท รวมเป็น 5,000 ล้านบาท สำหรับปี 2561 ธนาคารยังคงมีการทยอยตั้งสำรองหนี้ฯ รองรับมาตรฐานดังกล่าวต่อเนื่อง ยอมรับว่ามาตรฐานบัญชีใหม่จะกระทบต่อการทำกำไรของธนาคารพาณิชย์แน่นอน แต่ผลกระทบจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของ ธปท. ที่จะออกมาบังคับอย่างเป็นทางการ

ททท.กระตุ้นเที่ยวเมืองรอง

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ปี 2561 ททท. คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทย 36-37 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ทำสถิติสูงสุดไปแล้ว โดยในปี 2661 เน้นกระตุ้นท่องเที่ยวในท้องถิ่นและท่องเที่ยวเมืองรอง ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) คาดว่าแคมเปญนี้จะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าสู่เมืองรองและชุมชนไม่น้อยกว่า 13 ล้านคน สร้างรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากกว่า 3.5 แสนล้านบาท ทำให้สัดส่วนนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและคนต่างชาติในพื้นที่เมืองหลักต่อเมืองรองจะเพิ่มเป็น 65% และ 35% จากเดิม 70% และ 30% ตามลำดับ โดยคาดว่าจะเพิ่มยอดเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเป็น 160 ล้านคนต่อครั้ง สร้างรายได้ 1 ล้านล้านบาท จากปี 2560 อยู่ที่ 154 ล้านคนต่อครั้ง สร้างรายได้ 9.5 แสนล้านบาท ซึ่งการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองจะเน้นการจัดกิจกรรมตามเทศกาลสำคัญและวันหยุดยาวต่อเนื่อง เช่น ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาจัดกิจกรรมเคาต์ดาวน์ในเมืองรอง ได้แก่ ลำปาง สกลนคร กาญจนบุรี ระยอง ภูเก็ต ได้รับการตอบรับดี หลังจากนี้จะจัดอีกในเทศกาลสงกรานต์ ช่วงตรุษจีน เข้าพรรษา-ออกพรรษา ททท. อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะจัดงานกระตุ้นเมืองใดบ้าง

สศอ.ฟันธงปี “61 อุตฯ ฟื้นตัว

นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (เอ็มพีไอ) เดือนพฤศจิกายน 2560 ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.23% อยู่ที่ระดับ 116.83 และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 109.11 สูงสุดในรอบ 8 เดือน มั่นใจว่าจีดีพีภาคอุตสาหกรรมปี 2560 ขยายตัวได้ 1.52% เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้ในกรอบ 1.5-2% ซึ่งสะท้อนการฟื้นตัวและเริ่มขยายตัวจากการส่งออกที่ขยายตัวดี การนำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบ และสินค้าสำเร็จรูปสูงขึ้น เชื่อว่าปี 2561 ภาคอุตสาหกรรมจะฟื้นตัวและน่าจะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดการณ์จีดีพีภาคอุตสาหกรรมปี 2561 มีโอกาสขยายตัวได้ถึง 3% ถือเป็นระดับสูงสุดรอบ 4 ปี ตั้งแต่ปี 2556

พร้อมเพย์ล่มป่วนสิ้นปี

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เกิดปัญหาการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ ซึ่งบริษัทไอทีเอ็มเอ๊กซ์ผู้วางระบบพร้อมเพย์ประมวลผลค่าวันที่สิ้นปีผิดพลาด ทำให้ไม่สามารถโอนเงินข้ามธนาคารได้ โดยปัญหาเกิดในช่วงเช้า เมื่อตรวจสอบพบสาเหตุจึงปิดการให้บริการเป็นการชั่วคราวตั้งแต่เวลา 11.45 น. และเปิดให้บริการใหม่ในเวลา 14.45 น. ในวันเดียวกัน โดยมีรายการโอนเงินไม่ได้รับเงินภายในวันเดียวกันประมาณ 20,000 รายการ หลังจากทุกธนาคารนำเงินเข้าบัญชีผู้รับครบถ้วนทุกรายแล้ว โดยเชื่อว่าเมื่อแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดจากการเขียนโปรแกรมครั้งนี้แล้วจะไม่เกิดปัญหาอีกในอนาคต และทุกธนาคารยินดีคืนเงินค่าธรรมเนียมโอนเงินข้ามธนาคารผ่านช่องทางอื่นแทนพร้อมเพย์ในวันที่ 31 ธันวาคม 2560

ตลท.ไฟเขียวเทรดบิตคอยน์

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า กรณีที่บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดบริการซื้อขายตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) สกุลเงินดิจิตอล บิตคอยน์ นั้น บล.ฟิลลิปสามารถทำได้ เนื่องจากเป็นสมาชิกของตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของตลาดหลักทรัพย์ชิคาโก้ หรือซีเอ็มอี เนื่องจากในต่างประเทศไม่ได้จำกัดว่าห้ามซื้อขายสินทรัพย์อะไรบ้าง ทำให้สามารถจำหน่ายสินค้าได้ ขณะเดียวกันรัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ และไม่มีข้อจำกัดเรื่องลงทุนในทรัพย์สิน จึงสามารถทำได้

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า มีประชาชนสอบถามเกี่ยวกับการลงทุนสกุลเงินดิจิตอล และบิตคอยน์ โดยเกิดข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ในเรื่องนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศเมื่อปี 2557 ระบุว่าบิตคอยน์ไม่ถือเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไทย มีความเสี่ยงสูงและไม่ได้รับความคุ้มครองใดๆ

ทั้งนี้ ผู้ที่หลอกลวงคนให้เข้าไปลงทุนมีความผิดในมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มีโทษจำคุก 5-10 ปี และปรับ 5 แสนบาท-1 ล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน จึงอยากให้ประชาชนที่จะลงทุนศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน