วางบิล เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาสาวพัสตร์ เส้นทางชีวิตของจงจิต

วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์ เส้นทางชีวิตของจงจิต

“ป่านนี้คุณปานคงโกนหัวเข้าวัดไปแล้วกระมัง” มนวิไลพูดขึ้นมาลอยๆ หลังเข้านั่งโต๊ะอาหารข้างจงจิต “เสียดายที่ไม่ได้ไปงาน”

จงจิตเงยหน้าขึ้นจากจานอาหาร แวบหนึ่งของดวงตาและรอยยิ้มระคนทอดถอนใจกึ่งเศร้า “ยังกระมังคะ เห็นบอกว่าจะเข้าโบสถ์ประมาณบ่ายสองโมง”

“แล้วเมื่อไหร่เมยจะลงไปเยี่ยมพระเล่า” มนวิไลถามขณะเตรียมตักอาหารเข้าปาก

“คิดว่าระยะปีใหม่ ตั้งใจจะลงไปเยี่ยมบ้านอยู่แล้ว พี้ดไปด้วยกันไหมล่ะ” จงจิตตอบพร้อมถาม

“พี้ด” หรือมนวิไลที่จงจิตเรียกคือ “พี่อี้ด” ซึ่งเป็นชื่อเล่น เมื่อเรียกเร็วๆ เสียงจะออกเป็น “พี้ด” ปานเคยสงสัยเมื่อได้ยินครั้งแรกๆ เข้าใจว่าชื่อเล่นเป็นภาษาฝรั่ง เมื่อจงจิตอธิบายให้ฟังจึงถึงบางอ้อ และขอบใจเรียกบ้าง

มนวิไลจัดการมื้ออาหารกลางวัน ทำท่าครุ่นคิด

“ที่จริงอยากไปเหมือนกัน แต่ยังไม่รู้ว่าติดงานหรือเปล่า ระยะปีใหม่ที่อำเภอจะมีงานมาก เหมือนกับปีที่แล้ว อย่างที่เมยเห็น เอาไว้ใกล้ๆ อาจมีโอกาสได้ไป ลงไปเที่ยวกรุงเทพฯ สักครั้งก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้ลงไปสามสี่ปีแล้ว ว่าจะไปทีไรมันให้มีอุปสรรคทุกที คราวนั้นก็เหมือนกัน ที่คุณปานชวนไปเที่ยวพัทยา พอดีมีงานแต่งน้องสาว ไปไม่ได้อีก”

จงจิตสะท้านวูบขึ้นมาในอกเมื่อได้ยินมนวิไลพูดถึงการแต่งงาน… เดี๋ยวนี้ผมพร้อมเสมอที่จะแต่งงาน พร้อมที่จะมีเมียมีลูก ไม่เหมือนกับเมื่อสามสี่ปีก่อนที่ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ คงเป็นเพราะอายุมากขึ้น และผมพบคนที่ผมรักและรักผม… ปานบอกกับเธออย่างนั้น หลังจากคบหากันมาปีเศษ และต่างเข้าใจในกันอย่างที่เธอเองคิดไม่ถึง หากเหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปรเป็นอื่น ปีหน้าเธอก็ต้องแต่งงาน แต่ไม่ใช่กับปานอย่างที่เขาหวังเอาไว้ แต่กับ…อย่าคิดถึงไปเลย

ทำนองเดียวกัน หากทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดีตั้งแต่ต้น ป่านนี้เธอคงมีหลานให้คุณยายไว้อุ้มแล้ว แต่อะไรเล่าที่จะราบเรียบปูด้วยกลีบกุหลาบ มิใช่เพราะภาสกรดอกหรือที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเธอหวังไว้งามหรูพังพินาศลงอย่างไม่เป็นชิ้นดี เธอต้องปลีกตัวจากสังคมกรุงเทพฯ มาเป็นครูอยู่ที่นี่ ทั้งเป็นเหตุเดียวกันอีกนั่นแหละที่ทำให้พ่อกับแม่ไม่ยอมให้เธอทำอะไรตามอำเภอใจอีกต่อไป แม้อายุล่วงเบญจเพสแล้วก็ตาม โดยเฉพาะผู้ชาย การออกมาอยู่ที่นี่เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่เธอเสนอต่อพ่อแม่ บอกท่านทั้งสองเพียงแต่ว่า อยากออกไปอยู่ที่บ้านนอกสักปีสองปี… ใช่ – รักษาแผลหัวใจ พ่อแม่เธอเองคงรู้ แต่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีก

…ตามใจ หากเป็นความต้องการของลูก… แม่พูดกับเธอเพียงเท่านั้น

“มีอะไรกินบ้างล่ะ อ้าว นั่นครูจงจิตทำไมนั่งเหม่อลอย คิดอะไรอยู่หรือ อ้อ… วันนี้คุณปานบวชไม่ใช่หรือ เสียดายที่ไม่ได้ไปร่วมงาน” ครูใหญ่เดินเข้าห้องมาพูดติดต่อกันหลายประโยค จงจิตถึงกับสะดุ้งจากภวังค์

ไม่มีใครตอบคำถามครูใหญ่ จนเมื่อเขาเดินไปนั่งที่โต๊ะเปิดลิ้นชักหาอะไรสักครู่ แล้วถามขึ้นอีกโดยไม่เงยหน้าจากลิ้นชัก “เอ้อ… พรุ่งนี้ครูมนช่วยแวะไปที่อำเภอให้หน่อยเถอะ ตอนเช้าน่ะ ไปดูซิว่าเขามีคำสั่งอะไรใหม่ๆ มาอีก เปลี่ยนรัฐบาลทีก็ยุ่งอย่างนี้แหละ”

“ค่ะ” ครูมนวิไลรับปาก “เอ… พรุ่งนี้หนูมีชั่วโมงสอนชั้น ป.4 ตอนเช้านี่คะ”

ครูใหญ่เงยหน้าขึ้น มองมาที่ครูมนวิไล แล้วมองไปที่จงจิต “ครูจงจิตแน่ะ พรุ่งนี้เข้าสอนแทนครูมนเขาหน่อย หรือไม่ว่างอีก เอาเถอะ ผมจะช่วยไปดูเด็กที่ห้องให้”

จงจิตไม่ทันได้พูดอะไรออกมาก็รับปากว่า “ค่ะ” ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารเที่ยงต่อไป

“เฮ้อ…วันเสาร์อาทิตย์แทนที่จะได้พักผ่อน กลับต้องมานั่งทำงาน มันน่าเบื่อนะครูจงนะ ไม่ทำก็ไม่ได้ เดี๋ยวงานไม่เสร็จทางอำเภอจะมาเล่นงานอีก ข้อสำคัญคือเด็กเรียนไม่ทันหลักสูตรยิ่งยุ่งใหญ่” ครูใหญ่พูดเหมือนบ่นขณะยืนขึ้น พูดจบก็ขอตัวกลับไปรับประทานอาหารที่บ้านพัก

“อ้อ เดี๋ยวผมจะเลยไปบ้านกำนันสักหน่อย เห็นสั่งเด็กมาว่าอยากจะปรึกษาเรื่องอะไร คงเป็นเรื่องงานปีใหม่นั่นแหละ”

ทั้งมนวิไลและจงจิตต่างก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารมื้อนั้น ไม่มีใครพูดอะไร จนอิ่มทั้งสองคน มนวิไลขยับตัวจะลุกขึ้น จงจิตจึงเอ่ยปากว่า “เดี๋ยวหนูไปล้างให้เอง พี้ดวางไว้ตรงนั้นแหละคะ” มนวิไลว่าไม่เป็นไร จะหยิบจานอาหาร แต่จงจิตพูดขึ้นอีกพร้อมขยับตัวลุกขึ้นเอื้อมมือรับจานจากมนวิไลมา

แสงแดดจ้ายามเที่ยง แม้มีลมพัดผ่าน แต่เมื่อออกมากลางแจ้งก็รู้สึกร้อนผิวหนัง ครั้นกลับเข้าไปในที่ร่ม เริ่มเย็นลงอีก เสียงรถมอเตอร์ไซค์ของครูใหญ่ดังทางหลังโรงเรียน แล้วค่อยเงียบหายไป สรรพเสียงรอบด้านเงียบงัน นกกาต่างเข้าที่พักผ่อน รอเวลาบ่ายคล้อยจึงออกมาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามปกติอีกครั้ง

มนวิไลนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าที่เพิ่งมาถึงก่อนเที่ยง เมื่อจงจิตกลับเข้ามาที่ห้องอีกครั้ง เธอเดินเลี่ยงไปที่โต๊ะ หยิบกองสมุดการบ้านของนักเรียนมาวางไว้ตรงหน้า หยิบเล่มแรกจากกองเปิดหน้าที่นักเรียนเขียนการบ้าน แล้วอ่านข้อความตรวจ

จากเล่มแรก เล่มสอง เล่มสาม ระเรื่อยไป บางครั้งเธอก็ยิ้มกับสำนวนเรียงความของลูกศิษย์ชั้น ป.2 ที่เธอให้แต่งเรียงความหัวข้อความหวังในอนาคต บ้างก็ว่าจะเป็นครูเหมือนกับครูจงจิต บ้างอยากเป็นพยาบาล บ้างคิดฝันเป็นนายอำเภอ บางคนฝันจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือผู้แทนราษฎรส่งไป

แต่กับเด็กชายทนง จงจิตทึ่งในเหตุผลของการอยากเป็นชาวนาเหมือนพ่อของเขา ทนงหวังจะได้เรียนชั้นสูงขึ้นไปถึงขั้นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือไม่พียงโรงเรียนเกษตรกรรมในเบื้องต้น เพื่อเป็นแนวทางไปสู่ มหาวิทยาลัยในภายหลัง จะได้นำวิชาความรู้ทางเกษตรกรรมมาช่วยพ่อทำนา

จงจิตเห็นหน้าเด็กทนงในความรู้สึก ดวงตาเข้ม เช่นเดียวกับคิ้วดกหนา ท่าทางเคร่งขรึม แม้เป็นเด็กอายุเพียง 9 ขวบ แต่ดูจริงจังในการเรียน ทำงานตามที่ครูสั่ง หรือเล่น การเรียนอยู่ในระดับดี เป็นเด็กไม่มีปัญหา เธอยังคิดจะคุยกับนายมั่นพ่อของเด็กทนงเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสสักที

เสียงมนวิไลขยับตัว พับหนังสือพิมพ์เก็บวางไว้บนโต๊ะ อ้าปากหาวเต็มที่ “ฮ้าวววว…เอ้อ… ตาย นี่บ่ายโมงกว่าแล้วหรือ เออ เดี๋ยวจะเข้าไปตลาดเอาเสื้อ เมยจะเอาอะไรไหม พี่จะซื้อมาฝาก”

“ไม่ละค่ะ เดี๋ยวหนูจะกลับเหมือนกัน” จงจิตรวบสมุดนักเรียนเป็นกองเดียวกันนำไปตรวจต่อที่บ้านพัก

เมื่อทั้งจงจิตและมนวิไลกลับออกจากห้องพักครู โรงเรียนก็เงียบสงบ ประตูหน้าต่างทุกบานปิด จนกว่าพรุ่งนี้เช้า นายพัน-ภารโรงจึงมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ