ใส่บ่าแบกหาม : Get a Job

เธอจ๊ะ

Get a Job นี้ก็ดูสนุกดีนะ นำเสนอเรื่องของคนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Millennials

Millennials เป็นใคร?

ฉันก็ไม่เห็นมีแหล่งข้อมูลไหนระบุแน่ชัด แต่มีประมาณการว่าเป็นผู้เกิดก่อนปี ค.ศ.2000 ตอนนี้ก็จะอายุสัก 20-35 ปี

ชาวมิลเลนเนียลส์นี้มีลักษณะเฉพาะ หนังสือพิมพ์ชิคาโก้ทรีบูนฉบับวันที่ 23 สิงหาคม มีคอลัมน์เขียนถึงชาวมิลเลนเนียลส์ว่า เป็นกลุ่มชนที่ไม่นิยมซื้อบ้าน เหมือนชาวอเมริกันรุ่นก่อน

ชาวมิลเลนเนียลส์อยู่บ้านกับพ่อแม่ ไม่ได้ย้ายออกไปไหน โดยไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆ แถมเงินรายได้ก็แบ่งไปสนับสนุนเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่เฒ่าด้วยอีก

มีคนไปสัมภาษณ์ว่าอยากมีบ้านของตัวเองหรือเปล่า? ก็ตอบกันว่า สักวันก็อยากมี แต่ก็ต้องแต่งงานก่อน

พอถามว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน หรือทำไมแต่งงานช้า ก็จะตอบว่าจนอยู่น่ะสิ ตอนนี้ต้องใช้หนี้ที่กู้มาเรียนให้หมดก่อน

ที่สำคัญ ถ้าซื้อบ้าน ก็แปลว่าเงินก้อนส่วนใหญ่ที่มีก็ต้องทุ่มลงไปในการซื้อบ้าน แล้วพอซื้อบ้านก็แปลว่าต้องอยู่ที่นี่ที่เดียว ย้ายไปทำงานที่อื่นเมืองอื่นก็ไม่ได้ เปลี่ยนงานใหม่ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

เปลี่ยนงานแปลว่าเงินเดือนขึ้นด้วยไง ใช่ไหมๆ เราเปลี่ยนงานก็เพื่อเหตุนี้เป็นหนึ่งเหตุสำคัญ

เงินเดือนคนจบปริญญาตรีใหม่ๆ นั้นน้อยนิด อีกทั้งเรียนจบมา หนี้ที่กู้มาเรียนก็ท่วมหัวอยู่แล้ว ถ้ามาเพิ่มภาระการซื้อบ้าน ลดโอกาสตัวเองในการเปลี่ยนงานอีก มองไม่เห็นทางว่าจะหายจนได้อย่างไรในชีวิตนี้

ก็ถูกของเขาแหละ ชาวมิลเลนเนียลส์มักโดนกล่าวหาว่าขี้เกียจ ซึ่งเรียกว่ากล่าวหาก็ถูกแล้ว เพราะฉันว่าเจเนอเรชั่นไหนๆ ก็มีความขี้เกียจเจืออยู่ในตัวตนไม่มากก็น้อย

Get a Job เป็นหนังนำเสนอชีวิตคนกลุ่มนี้ นำแสดงโดย Miles Teller, Anna Kendrick และ Bryan Cranston ฉันชอบหมดเลย นักแสดงทั้งสามคนนี้ แสดงดีไม่มีที่ติ

เรื่องนี้ก็เริ่มที่พระเอกของเราและเพื่อนอีกสามคน เรียนจบปริญญาตรีกันมาหมาดๆ เข้าสู่ฤดูกาลการหางานทำ บ้านช่องก็ยังเช่าอยู่ด้วยกันกับเพื่อน เป็นรูมเมตกัน เพราะมันยังเป็นช่วงรอยต่อของชีวิตนักศึกษากับการเข้าสู่วัยทำงาน ยังอีหลักอีเหลื่อกับเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ก็ยังไม่มีงานทำนี่นา

เพื่อนคนหนึ่งจับพลัดจับผลูได้ไปเป็นครูสอนฟิสิกส์ เพื่อนอีกคนพากเพียรเข้าทำงานสถาบันการเงิน เพื่อนอีกคนมั่นใจในการดีไซน์แอพพลิเคชั่นให้ใช้งานได้ เป็นหนทางไปสู่ความร่ำรวย

ส่วนพระเอกของเรา ก็ชอบผลิตวิดีโอ ได้งานทำก่อนใคร แต่ความหวังมาล่มสลายก็เมื่อไปทำงานวันแรก

You forgot? I spent two summers
interning here for free
so that I could have a job waiting for me
after graduation, and you forgot.

ลืมเหรอ? ผมฝึกงานที่นี่ฟรีๆ
ตอนปิดภาคฤดูร้อนตั้งสองครั้ง
เพื่อที่พอเรียนจบจะได้งานทำเลย
แล้วคุณก็ลืม

ปกติถ้าเราไปฝึกงานที่ไหน เราก็หวังว่าจะได้งานทำที่นั่น ไปแสดงผลงานก่อนให้เขาได้เห็น มั่นใจในตัวเราก่อน จะได้ว่าจ้างอย่างสะดวกดายกว่าไปกรอกใบสมัครแล้วสัมภาษณ์

แต่พอดีบริษัทที่พระเอกของเราหมายมั่น เกิดสถานการณ์คัดคนออก ดังนั้น เรื่องรับเข้า ไม่ต้องพูดถึงเลย เป็นไปไม่ได้แน่ๆ

I deserve to be treated a little better than this.
ผมควรต้องได้รับการปฏิบัติดีกว่านั้นนิดนึง

deserve เป็นคำกริยาที่ดี มันหมายถึง สมควรได้รับ มันจะเกิดขึ้นก็ได้ก็เพราะคนหนึ่งลงมือลงแรง อีกคนก็เห็นคุณค่าจึงมอบบางสิ่งให้

อุตส่าห์รู้จักกันมานาน หากจะไม่จ้างงาน ก็มีกะใจจะโทรศัพท์ไปแจ้งไหม นี่อะไร ให้มาเก้อ แล้วก็แจ้งข่าวร้าย บอกง่ายๆ ว่าลืมบอก พระเอกของเราจึงจำต้องจากมาอย่างเงียบๆ ออกหางานทำใหม่ต่อไป

Here’s something in the hospitality industry.
นี่ไงมีงานในอุตสาหกรรมการบริการ

hospitality แปลว่า การต้อนรับขับสู้ การให้การบริการ
hospitality industry ก็หมายถึง อุตสาหกรรมด้านการบริการ อย่างการท่องเที่ยว การโรงแรม

ขำตรงนี้ ตรงที่เพื่อนพระเอกคนที่จะไปเป็นครูตอบว่า

You don’t have any sort of medical degree.
แกไม่มีพวกปริญญาด้านการแพทย์สักหน่อย

hospital กับ hospitality เหมือนสองคำจะมีความหมายคล้ายกันและเกี่ยวข้องกัน แต่เปล่าเลย

พระเอกของเราได้งานทำที่โรงแรมจิ้งหรีดนั่นเอง!

ไม่นาน พระเอกของเราก็ออกจากงาน ไปหาพ่อ ขอตังค์ใช้ดีกว่า

Will, you’re a grown-up now.
I’m not gonna give you any more money.

วิล ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
พ่อจะไม่ให้เงินลูกอีกต่อไปแล้ว

ลูกก็ไม่ได้ใส่ใจที่พ่อพูด

Enough of the life lessons here, man.
I am broke.

พอแล้วๆ บทเรียนชีวิต พ่อก็นะ
ผมถังแตก

แล้วก็ได้รู้ว่าพ่อเองก็ตกงาน ต้องออกหางานใหม่เหมือนกัน! แล้วพ่อก็แก่มากแล้วด้วยอีกนะ!!

พระเอกของเราจึงเริ่มสำนึก กดดันมากขึ้น เมื่อแฟนสาวได้งานทำไปก่อน เข้าสู่โลกแห่งการทำงานก่อน พอมองกลับมาที่ชีวิตพระเอก ก็เลยเห็นแต่หนุ่มที่ลอยชายไปวันๆ เล่นวิดีโอเกม สนุกสนานกับเพื่อน งานการก็ไม่ได้ตั้งใจหา

It feels like you’re just flailing around,
making it up as you go.

เหมือนเธอลอยชาย
ล่องลอยไปวันๆ

ช่างแตกต่างจากสมัยเรียนหนังสือด้วยกัน พระเอกของเรามีพลังเหลือเฟือ ทำกิจกรรมหลายหลากมากมาย มีไอเดียบรรเจิด แต่ไหงพออยู่ในชีวิตจริง ต้องลงมือทำสิ่งที่เคยพูดไว้ มันกลับไม่เห็นแววของคนๆ เดิมคนนั้น เอาแต่นั่งเล่นวิโอเกม มีบ้องกัญชาไว้ประจำบ้าน

flail around คือ อาการที่คนลุกขึ้นโบกไม้โบกมือไปมา เวลาติดเกาะแล้วมีเรือผ่านมา

make something up as you go (along) หมายถึง สร้างเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่ได้ คิดให้ดีก่อนไม่ได้วางแผน จะขึ้นต้นลงท้ายอย่างไรวิธีไหนไม่ได้ใส่ใจ

แต่ในที่สุด บริษัทใหญ่โตก็รับพระเอกของเราเข้าทำงาน พระเอกของเราก็โดนเจ้านายด่าเละ

You will maintain a professional appearance.
คุณต้องรักษาภาพความเป็นมืออาชีพ

หมายถึงต้องใส่สูทและผูกเน็กไท ไม่ใช่กางเกงสีกากี เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบเช่นทุกวันนี้

From now on, you will follow the guidebook to the letter.
จากนี้ไป คุณต้องปฏิบัติตามคู่มือนี้โดยละเอียด

เจ้านายเริ่มสร้างความลำบากและกดดันให้ชีวิตการทำงานของพระเอกของเรา จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ มีแต่ต้องสู้และฝ่าฟัน

ถ้าเราไม่ชอบงานที่เราทำ ทำงานที่ไหนมันยากหมดแหละ เธอว่าไหม?

ฉะนั้น เราต้องหางานที่เราชอบ ยิ่งชอบมากยิ่งดี เพราะถ้าเราชอบมันมากพอ ต่อให้มีปัญหา เราก็จะมองเห็นปัญหาเป็นเพียงเรื่องที่ต้องแก้ไขให้เสร็จสิ้นและผ่านมันไป

บางปัญหาก็อาจจะแค่ใช้เวลาในการแก้ไขนานหน่อย หรือถ้ามันแก้ไขไม่ได้เลย เราก็จะสามารถมองเห็นสิ่งสำคัญกว่าอยู่ดี

ฉันก็ไม่ได้โลกสวยนะ แต่สิ่งที่ฉันมองเห็นจากชาวมิลเลนเนียลส์คือเขาเป็นพวกสร้างงานให้ตัวเองได้ อยากทำงานในองค์กรก็ทำได้ อยากสร้างงานให้ตัวเองก็ทำได้อีก

อย่าทำตัวป็นคนจนแต้มก็พอ

Don’t just feel special. Be special.
อย่าเพียงรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษ แต่จงเป็นคนพิเศษ (อย่างน้อยก็ในสายตาตัวเองสิน่า)

ฉันเอง