คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง : ปีใหม่ ยังมีความหวังไหม?

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

ผมตั้งธรรมเนียมของตัวเองไว้แล้วว่า ช่วงปีใหม่จะเขียนอะไรเกี่ยวกับความหวัง หรืออะไรตามแต่จะคิดได้ทำนองบ่นบ้าคนเดียว

ขอท่านผู้อ่านโปรดอภัย คิดซะว่านั่งจิบชาคุยกันก่อนสิ้นปี

พราหมณ์ และพุทธผีไม่ฉลองปีใหม่สากล คือ 1 มกราคม เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความเชื่อที่มีอยู่เดิม

พราหมณ์นั้นมีปีใหม่อยู่แล้วหลายปีใหม่ เช่น สังกรานติ (สงกรานต์) หรือนวราตรี ผีก็มีเซ่นผีสิ้นปีของแต่ผี เช่น เดือนห้าหรือเดือนอ้าย

ส่วนพุทธ ในหลายประเทศเขาก็นับเอาวิสาขบูชาเป็นปีใหม่แบบพุทธ ไม่งั้นก็หยิบยืมของพราหมณ์มาใช้

แต่ปัจจุบันใช้ปีใหม่สากลกันทั่วถ้วนเพราะเรารับเอาทั้งปฏิทิน และคติจากปฏิทินของตะวันตกมาใช้ จึงนับปีใหม่แบบเขามาเป็นการเปลี่ยนปีของเรา (พุทธศักราช) ไปด้วย

 

ทีนี้พอรับปีใหม่เขามา ก็พยายามเอาพิธีกรรมทางศาสนาไปใส่ไว้ในปีใหม่ (ของใหม่) เช่น ทำบุญตักบาตร นัยว่าเพื่อความเป็นสิริมงคล

ครั้นต่อมากลัวคนจะสำมะเลเทเมากันมากไปกระมัง จึงมีงานอย่างสวดมนตร์ข้ามปี แทนเคาต์ดาวน์ตามลานเบียร์

สงสัยลืมไปว่า คติผีพุทธพราหมณ์เค้านับข้ามปีหรือวันใหม่กันตอนอรุณ (เว้ย) ไม่ใช่นับเที่ยงคืนอย่างฝรั่งมังค่า

เลยกลายเป็นว่าครึ่งๆ กลางๆ เอาพิธีกรรมแบบตะวันออกไปใช้กับเวลาแบบตะวันตก พอเช้าก็ตักบาตรกันอีกรอบ ปีใหม่กันสองครั้งไปเลย

 

ในปีใหม่ หลายคนมีธรรมเนียมทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่าน พร้อมๆ กับตั้งปณิธานถึงสิ่งที่จะทำในปีต่อไป

ทว่าปีนี้ผมแทบไม่อยากทบทวนอะไร ทั้งในทางส่วนตัวและในทางสังคม แม้จะเป็นปีที่ได้เรียนรู้อะไรมากมาย แต่ก็เต็มไปด้วยความสูญเสียและความเศร้า

ที่จริง “กาละ” หรือเวลาก็เป็นของสมมุติอย่างหนี่ง สำนักปรัชญาอินเดียบางสำนัก เช่น นยายะและไวเศษิกะ ถือว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีอยู่และพูดถึงมันได้ (ภาษาแขกเรียก ปทารถ) มันช่วยให้เราทราบความใกล้ไกลในทางเวลา แบ่งอย่างหยาบเป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต

ท่านว่า เพราะเวลายากจะรับรู้ คนโบราณจึงแบ่งออกเป็น ปี เดือน วัน ชั่วโมง นาที วินาที เรื่อยไปให้เราได้กำหนดหมายรู้เอา

แต่การกำหนดหมายรู้เวลาไม่เพียงช่วยให้เราทำกิจวัตรประจำวันได้เท่านั้น ยังมีความหมายต่ออารมณ์ความรู้สึกของเรา

วันคืนเคลื่อนคล้อย ชีวิตก็เหลือน้อยลงทุกที สุดท้ายมนุษย์ก็ตายจากไป

เสียงของมิตรสหายดังในหัว คำถามคือ เราจะทิ้ง “ของขวัญ” อะไรไว้ให้โลกนี้

ของขวัญชิ้นนี้อาจไม่ใช่ผลงานศิลปะ วัตถุสิ่งของ เกียรติยศชื่อเสียงอะไรแนวนั้น แต่อาจเป็นสิ่งที่เราแต่ละคนคงต้องถามตัวเองว่าเราอยากทิ้งสิ่งใดไว้

เราอาจหว่านเมล็ดพันธุ์บางอย่าง ซึ่งอาจไม่เติบโตออกดอกออกผลให้เราเห็นในชั่วชีวิตอันแสนสั้นของเรา แต่อาจเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีต่อไป

หรือเราอาจแค่มีชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งนั่นอาจมากพอสำหรับในโลกที่ความเป็นตัวของตัวเองเป็นสิ่งเกิดขึ้นได้ยากเย็น

บางครั้งในบทสนทนากับตัวเอง ผมมองหาของขวัญที่ผมอยากมอบให้โลกนี้ แต่หลายครั้งผมก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเท่าใด

แต่เอาเถอะครับ สักวันมันคงมีของขวัญที่ว่านี้ อาจารย์ประมวลที่ผมรักบอกว่า แค่เรามีชีวิตในโลก บางครั้งก็มีประโยชน์แล้ว ซึ่งอาจารย์ประจักษ์แจ้งสิ่งนี้ ยามต้องนอนใกล้หมาขี้เรื้อนในศาลาวัดแห่งหนึ่ง

เพราะอาจารย์ไม่ตาย กายมีไออุ่น หมาขี้เรื้อนนั้นจึงเข้ามานอนแนบชิด รับไออุ่น

แค่เพียงมีชีวิตอยู่ก็อาจมีประโยชน์แล้ว

 

นํ้าเสียงผมอาจดูเศร้าๆ และหมดพลัง มิตรสหายหลายคนบอกว่างานเขียนของผมในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ดุและเผ็ดยียวนกวนทีนเท่างานสมัยเขียนแรกๆ

คือของร้อนในหัวมันไปหมดแล้วล่ะครับ ต่อไปก็ค่อยย่อยประเด็นให้เล็กลง ชวนคุยกันแบบสบายๆ มากขึ้น อีกอย่างคืออาจเริ่มแก่นิดๆ

มิตรสหายอีกท่านให้ข้อสังเกตว่า ดูเหมือนจะมีคนเจ็บป่วยด้วยโรคซึมเศร้าหรือโรคทางจิตเวชชนิดต่างๆ มากขึ้นหรือไม่จากแต่ก่อน

อาจเพราะแค่เรายังไม่มีความรู้ หรือยังไม่มีการสื่อสารออนไลน์ คนอาจป่วยกันเงียบๆ หรือไม่

หรือที่จริง ความเจ็บป่วยเหล่านี้มีปัจจัยจากสภาพทางสังคมการเมืองที่เป็นอยู่ไม่มากก็น้อย เราจึงเจ็บป่วยยามเมื่อบ้านเมืองของเราไม่ปกติไม่ว่าจะมิติไหน

ที่เจ็บปวดเพราะแม้จะรู้ว่าไม่ปกติ แต่ราวกับความไม่ปกตินี้จะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

น้ำที่ค่อยๆ ร้อนขึ้นทีละนิดทำให้ปลาชินชา กว่าจะรู้ตัว ปลาก็ตายเสียแล้ว

 

แต่เอาเถอะ เราก็ยังไม่ได้ตายจากกัน ความหวังจะลดน้อยหรือจะหมดชั่วคราวมันก็เป็นเรื่องธรรมดา หมดได้ก็มีใหม่ได้

ผมนึกถึงประโยคหนึ่งของครูบาอาจารย์ขึ้นมา ไม่รู้เกี่ยวกับปีใหม่ไหม แต่อยากแบ่งปัน ท่านว่า “เราไม่ด่าว่าตะเกียบถ้ามันไม่สามารถตักน้ำแกงได้”

หมายความว่า แต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองไป เราไม่เอาไปเปรียบหน้าที่ที่ต่างกันว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าที่ เช่น ผมเรียนปรัชญา งานของผมคือวิเคราะห์วิพากษ์ จะให้ชื่นชมสนับสนุนอย่างเดียวก็ไม่ใช่

คนวิ่งหาเงินก็วิ่งไป คนวิจารณ์ก็มีหน้าที่ในการวิจารณ์ จะไปบอกว่าทำไมไม่มาวิ่งบ้าง หรือทำไมไม่ทำอย่างฉันบ้าง ก็เขามีหน้าที่วิจารณ์สาธารณะ มันก็งานอีกอย่าง ช่วยสังคมอีกแบบ

ไม่งั้นพระอาจบอกให้ทุกคนมาบวชอย่างฉันบ้าง หมดกันครับ ไม่มีประชากรไว้ใช้สอยในอนาคตพอดี

ฉะนั้น เราไม่โทษที่ตะเกียบไม่ตักน้ำแกง และไม่ด่าว่าช้อนทำไมไม่คีบอาหารได้ ตะเกียบคือตะเกียบ ช้อนคือช้อน

โลกนี้หมุนไปและดำรงอยู่เพราะมีคนหลากหลายนี่แล และความหลากหลายเช่นนี้สมควรจะเพิ่มพูนรักษาไว้ ในสังคมที่คนอยู่ร่วมกันโดยไม่เข่นฆ่ากันแม้จะเห็นต่าง

 

ในช่วงปีใหม่สากลที่ผมมีความรู้สึกเศร้าๆ ในใจนี้ ผมขอระลึกถึงบางท่านเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมิได้สนิทสนม คือบรรดาผู้พยายามมอบของขวัญแด่โลกนี้เสมอ แม้จะไม่มีผู้สรรเสริญ มีคุณไผ่ ดาวดิน เป็นอาทิ

ขอส่งความปรารถนาดีไปยังท่านเหล่านั้น ด้วยเพราะเพิ่งตระหนักว่า ความหวังหากมอบให้ตนเองโดยลำพังก็เป็นของที่ทำได้ยาก แต่หากมอบให้แก่กันจะโดยตรงหรือโดยอ้อมย่อมส่องสว่างและง่ายกว่า

ผมขอขอบคุณผู้มอบความหวังทั้งหลายแด่โลก และอยากจะมอบความหวังแด่ท่านผู้อ่านเช่นเดียวกัน

รวมทั้งขอขอบพระคุณที่ได้ติดตามมาโดยตลอด

ขอความสุขสวัสดีมีแก่ท่าน มีกายวาจาใจเป็นที่พึ่ง

มีทวยเทพเป็นมิตรสหาย มีความจริงเป็นเครื่องส่องสว่าง

มีความรักเป็นหนทาง มีเมตตากรุณาเป็นกำลัง

สวัสดีปีใหม่ครับ