ไขปริศนาคดีเผานั่งยาง สยองกองขยะขอนแก่น ทอมอ้างดี้สำลักข้าวดับ โดนข้อหาฆ่า-อำพรางศพ

เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว อะไรที่ไม่ใช่ความจริงก็ย่อมมีพิรุธให้ถูกหักล้างได้เสมอ

คำให้การของ น.ส.ไก่ ถึงสาเหตุการตายของเพื่อนสาวคนสนิทเหยื่อเผานั่งยาง ที่กองขยะ ใน จ.ขอนแก่น ที่ว่า “สำลักข้าวตาย”

จึงไร้ซึ่งความน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง

บ่อขยะที่เกิดเหตุ

ผวาศพเผานั่งยางในบ่อขยะ

ย้อนไปเมื่อเย็นวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ต.อ.สมมาตย์ มั่งไธสงค์ ผกก.สภ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น นำชุดสืบสวนลงพื้นที่บ่อขยะ บ้านหนองดู่ ต.ละหานนา อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น หลังรับแจ้งพบโครงกระดูกมนุษย์ ถูกเผานั่งยาง โดยสภาพศพนอนขดโดนไฟเผาไหม้เกรียมบางส่วนเหลือแต่โครงกระดูก เบื้องต้นยังไม่สามารถระบุเพศได้ว่าเป็นชายหรือหญิง

นายเชิดชัย นาคุณ อายุ 55 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองดู่ ต.ละหานนา เล่าว่า คนที่มาพบศพครั้งแรกเป็นคนขับรถส่งน้ำที่มาจอดรถตรงนี้ ทีแรกคิดว่าเป็นสุนัข จึงมาแจ้งผู้ใหญ่บ้านและแจ้งตน จากนั้นจึงได้พากันออกมาดูกับชาวบ้านก่อนจะแจ้งตำรวจ คาดว่ามีการเผาไหม้มาแล้วประมาณ 3 วัน

พ.ต.อ.สมมาตย์กล่าวหลังตรวจสอบที่เกิดเหตุว่า เบื้องต้นยังไม่สามารถระบุเพศได้ว่าชายหรือหญิง มีเพียงเส้นผมยาวที่ยังหลงเหลือบางส่วน ซึ่งอาจจะเป็นหญิงหรือสาวประเภทสองก็ได้ แต่ในพื้นที่ สภ.แวงน้อย ตรวจสอบแล้วไม่มีการแจ้งคนหาย

หลังเกิดเหตุศพปริศนาถูกให้ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 4 พิสูจน์หาอัตลักษณ์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ร่วมชันสูตรจนยืนยันได้ว่าผู้ตายเป็นเพศหญิง อายุประมาณ 35-40 ปี สูงประมาณ 160 เซนติเมตร เบื้องต้นผลชันสูตรชี้ว่าเธอถูกคนร้ายใช้ของมีคมแทงจากด้านหลังจนเสียชีวิต ก่อนจะนำศพมาเผานั่งยางจนไหม้เกรียม

ตำรวจสันนิษฐานว่าเธอน่าจะถูกคนร้ายไม่ต่ำกว่า 2 คน ฆาตกรรมจากพื้นที่ใกล้เคียง ขณะนี้ตำรวจให้น้ำหนักไปในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งอยู่ติดกัน เพราะจุดเกิดเหตุเป็นรอยต่อระหว่า จ.ขอนแก่นและ จ.ชัยภูมิ จึงพยายามส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่หาหลักฐานรถต้องสงสัยที่จะขนยางรถยนต์ หรือเข้าไปซื้อน้ำมันในปั๊มมาเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟเผาตามเส้นทางโดยรอบพื้นที่

พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พ.ต.อ.สมมาตย์ มั่งไธสง ผกก.สภ.แวงน้อย พ.ต.อ.พรศักดิ์ งามดี ผกก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น สั่งให้ชุดสืบสวนร่วม บก.สส.ภ.4, กก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น และ สภ.แวงน้อย ไล่เช็กกล้องวงจรในหมู่บ้าน

และเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะใช้รถนำศพมาทิ้งและก่อเหตุเผา รวมทั้งเส้นทางเชื่อมโยงที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเน้นหนักในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ และย้อนหลังไปอีก 7 วัน

ชุดคลี่คลายคดีตั้งข้อสันนิษฐานว่า ผู้ก่อเหตุจะต้องเป็นคนที่รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี และหากผู้ตายไม่ใช่คนในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ก็อาจจะเป็นคนพื้นที่อื่น ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง จึงประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อมวลชนว่า หากประชาชนหรือครอบครัวใดที่คนในครอบครัวหายตัวไป ให้มาแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีญาติซึ่งเป็นคนในพื้นที่ จ.ขอนแก่น เข้ามาให้ข้อมูล และคนที่เข้ามาให้ข้อมูลเมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่าไม่เกี่ยวข้องกับผู้ตาย

ต่อมาตำรวจได้ข้อมูลว่าในพื้นที่ ต.ละหานนา อ.แวงน้อย มี น.ส.เบญญาภา ปาณพันธ์ประภา อายุ 47 ปี หรือเป้ ชาว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ มาอาศัยอยู่กับ น.ส.ไพจิตร คนคิด อายุ 39 ปี หรือไก่ คนในพื้นที่ในลักษณะคบหากันเป็นคู่ทอม-ดี้ โดยอาศัยอยู่ด้วยกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว โดยทั้งคู่มีอาชีพปลูกผักขาย

โดย น.ส.เป้หายตัวไปก่อนวันพบศพถูกเผานั่งยาง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สอบถามชาวบ้านในละแวกพื้นที่ จนกระทั่งพบพยานบุคคลระบุว่า น.ส.ไก่ออกจากบ้านไปพร้อมกับ น.ส.เป้ แต่ได้กลับมาคนเดียวพร้อมรถยนต์ โดยอ้างว่า น.ส.เป้เดินทางไปทำงานต่างประเทศ

ตำรวจสืบสวนสอบสวนต่อไปอีกจนกระทั่งพบข้อพิรุธหลายอย่าง จึงได้เชิญตัว น.ส.ไก่มาสอบสวนพร้อมตรวจยึดรถเก๋ง ฮอนด้า แจ๊ซ สีขาว ทะเบียน 1 กค 4384 กรุงเทพมหานคร ของ น.ส.เป้ มาตรวจสอบหาหลักฐานจนกระทั่งเจ้าตัวรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือเผาศพผู้ตายจริง แต่ยังคงปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนฆ่า

น.ส.ไก่รับทราบข้อหา

คำสารภาพ ‘ไก่’ เผานั่งยาง ‘เป้’

น.ส.ไก่อ้างว่าเคยคบหากับ น.ส.เป้มาหลายปีก่อนจะแยกกันไปแต่ก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกัน ต่อมา น.ส.เป้ป่วยก่อนมาพักอาศัยอยู่ด้วยกันได้ 7 ปี และในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ได้พากันเดินทางไปบ้านของผู้ตายที่ จ.สมุทรปราการ หลังรับประทานอาหารเที่ยง น.ส.เป้ได้ชักกระตุกและหมดสติ ตนเข้าช่วยเหลือแต่พบว่าถึงแก่ความตายแล้ว จึงได้ห่อศพนำขึ้นรถเก๋งกลับมาที่ อ.แวงน้อย และในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ได้ตระเวนหายางรถยนต์เก่าในหมู่บ้านและซื้อน้ำมันเบนซิน 95 จำนวน 1 แกลลอน ราคา 100 บาท ที่ปั๊มน้ำมันริมถนนสายแวงน้อย-ชัยภูมิ จนถึงเวลาประมาณ 16.00 น.ได้ขับรถนำร่างมาเผาที่บ่อขยะ

แน่นอนว่าตำรวจหรือใครก็ยากจะเชื่อข้ออ้างที่ว่า “เห็นผู้ตายสำลักข้าวจนเสียชีวิต เลยนำศพมาเผานั่งยาง” เพราะมันผิดวิสัยที่คนธรรมดาจะกระทำกัน

เมื่อตำรวจตรวจสอบข้อมูลการใช้มือถือของ น.ส.ไก่ ก็พบว่าในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เจ้าตัวค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องซื้อขายที่ดินในแอพพลิเคชั่น Google และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ได้มีการค้นหาวิธีการเผานั่งยาง มีการค้นหาว่า ธรรมชาติของศพหากตายแล้วกี่วันจึงจะเน่าเหม็น

น.ส.ไก่ นำชี้จุดเผานั่งยางเป้

ซึ่งพฤติการณ์เหล่านี้ทำให้เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การ

ด้าน พ.ต.อ.พรศักดิ์ งามดี ผกก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น กล่าวว่า มีประเด็นที่ตำรวจต้องสืบสวนสอบสวนต่อ เนื่องจากทั้งคู่คบหากันใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน คนตายเป็นดี้ ส่วน น.ส.ไก่เป็นทอม ใช้ชีวิตด้วยกันมา 7 ปี แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา น.ส.ไก่เปลี่ยนตัวเองจากทอม มาเป็นหญิงสาวเต็มตัว และมักจะบอกกับคนอื่นว่าตัวเองโสด จนมีปัญหาชีวิตคู่ สุดท้าย น.ส.เป้ก็เสียชีวิต

และการชันสูตรศพก็มีบาดแผลของมีคมที่แผ่นหลังคนตาย จึงยังไม่เคลียร์ในคำรับสารภาพของ น.ส.ไก่ ที่จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนต่อไป

หลังได้คำสารภาพตำรวจก็คุมตัว น.ส.ไก่ไปทำแผนประทุษกรรมประกอบคำรับสารภาพ โดยในจุดทำแผนฯ ที่บ่อขยะ เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ น.ส.ไก่จำลองเหตุการณ์ เริ่มต้นจากวันที่นำศพของผู้ตายมาเผา โดยใช้รถยนต์ฮอนด้า แจ๊ซของผู้ตาย เป็นยานพาหนะ โดยขับรถมาจอดบริเวณถนนรอบบ่อกำจัดขยะด้านทิศเหนือ ในเวลาประมาณ 16.30 น. ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งในรถนอกจากจะมีศพของผู้ตายที่ถูกห่อด้วยผ้าห่มและใช้เชือกมัดอยู่ท้ายรถ ยางรถยนต์เก่า จำนวน 2 เส้น และน้ำมันเบนซิน 95 จำนวน 1 แกลลอนแล้ว ยังมีน้องเอ (นามสมมุติ) อายุ 5 ขวบ ลูกชายบุญธรรมที่ทั้งคู่รับมาเลี้ยงนั่งอยู่เบาะหน้าข้างคนขับด้วย

โดยเมื่อขับรถมาจอดที่บริเวณขอบบ่อกำจัดขยะ น.ส.ไก่ลงมาเปิดประตูหลังของรถก่อนที่จะเอายางรถยนต์และร่างของผู้ตายลงจากรถมาวางไว้ที่ขอบบ่อ ก่อนจะกลิ้งลงไปในบ่อขยะ ลึกประมาณ 3 เมตร แล้วจึงเอาแกลลอนน้ำมันที่เตรียมมาเดินลงไปที่ก้นบ่อขยะ

น.ส.ไก่จำลองเหตุการณ์ขณะเริ่มจัดเตรียมการเผาศพ โดยนำล้อรถยนต์วางไว้ก่อน 1 เส้น จากนั้นลากห่อศพของผู้ตายวางบนล้อยางรถยนต์ แล้วใช้ยางรถยนต์อีกเส้นวางทับ นำน้ำมันที่เตรียมมาราดลงไปบนศพแล้วจุดไฟเผา ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงขับรถออกจากบ่อขยะไป

และในช่วงที่ลงมาเผาศพ น้องเอ ลูกบุญธรรมก็นั่งเล่นเกมโทรศัพท์อยู่ภายในรถยนต์ด้วย

ทำแผนฯขณะซื้อน้ำมัน

ตร.แจ้งข้อหา ‘ฆ่าโดยเจตนา’

ต่อมาตำรวจให้ น.ส.ไก่จำลองเหตุการณ์ที่ได้ห่อศพและนำศพผู้ตายขึ้นรถยนต์ก่อนจะพาศพมาที่ อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น เพื่อเผาอำพรางตามที่เจ้าตัวอ้าง โดย น.ส.ไก่ระบุว่าขับรถนำศพ น.ส.เป้ จากบ้านที่ จ.สมุทรปราการ กลับมาบ้านที่บ้านหนองดู่ หมู่ 4 ต.ละหานนา อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ในเวลาประมาณ 22.00 น. ของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567

ในช่วงเช้าก็ใช้รถคันดังกล่าวขับไปส่งน้องเอที่โรงเรียนทั้งที่ศพยังอยู่บนรถ เมื่อส่งน้องเอเสร็จก็ได้เดินทางไปที่บ้านของพ่อและแม่ ในหมู่บ้านเดียวกัน เพื่อไปเอายางรถยนต์ที่เก็บไว้ที่บ้านหลังดังกล่าวมากว่า 10 ปี ขึ้นไปไว้บนรถยนต์

จากนั้นในช่วงบ่ายจึงเดินทางไปซื้อน้ำมันมาเตรียมไว้ จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.30 น. ไปรับน้องเอที่โรงเรียน แล้วพาไปแวะซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อ จากนั้นได้ขับรถมายังบ่อกำจัดขยะซึ่งรู้จักเป็นอย่างดี ก่อนที่จะเผาศพดังกล่าว

นอกจากข้ออ้างเรื่องสาเหตุการเสียชีวิตของ น.ส.เป้จะดูไม่น่าเชื่อถือแล้ว จุดที่เสียชีวิตตามที่ให้การก็เป็นอีกหนึ่งข้อพิรุธ เพราะเมื่อไปตรวจสอบตามคำให้การพบว่าบ้านถูกปิดตายมานานไม่มีร่องรอยคนนั่งกินข้าวในบ้านแต่อย่างใด

ทำแผนนาทีผลักศพลงบ่อขยะ

ขณะที่ญาติของ น.ส.เป้ก็ให้ข้อมูลว่า น.ส.เป้ไม่ได้ยากจน แต่มีทรัพย์สินติดตัวทั้งเงินสด บ้าน รถยนต์ และที่ดิน สามารถอยู่ได้อย่างไม่ลำบาก

ประกอบกับรูปร่างของ น.ส.เป้ที่ตัวใหญ่กว่า น.ส.ไก่จะอุ้มคนเดียวได้ จึงสงสัยว่าอาจมีคนอื่นร่วมก่อเหตุด้วย

เมื่อตำรวจสืบลึกลงไปก็พบตัวละครอีกคน ชื่อเสี่ยกล้วย เป็นนักธุรกิจฐานะดีในกรุงเทพฯ ซึ่งมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ น.ส.ไก่ คอยช่วยเหลือเรื่องเงินทองให้ตลอดทั้งที่ตัวเสี่ยกล้วยก็มีเมียอยู่แล้ว

ขณะที่พ่อของ น.ส.ไก่เผยว่า ไม่เชื่อว่าลูกจะฆ่า น.ส.เป้ แต่น่าจะทำตามคำสั่งเสียของผู้ตายเพราะที่ผ่านมาเคยได้ยินคนตายพูดสั่งเสียกับลูกสาวอยู่บ่อยๆ ว่า “หากวันหนึ่งฉันตายไป ให้ช่วยทำให้ฉันหายสาบสูญไปเลยนะ ไม่ต้องจัดงานศพหรือทำพิธีอะไรทั้งนั้น ครอบครัวฉันไม่เคยสนใจฉันอยู่แล้ว”

27 กุมภาพันธ์ 2567 ตำรวจควบคุมตัว น.ส.ไก่ไปขออนุญาตศาลจังหวัดพล จ.ขอนแก่น เพื่อฝากขังผัดแรก โดยตำรวจระบุว่า ผู้ต้องหาก็ยังคงให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่า แต่จากพยานหลักฐานเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ จึงแจ้งข้อกล่าวหาในความผิดฐาน 1. ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 2. ข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร 3. ข้อหาซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตาย

แม้นจะได้ตัวผู้ต้องหา ได้คำรับสารภาพ แต่แรงจูงใจในการก่อเหตุของคดีนี้ ยังเป็นอีกปริศนาที่ยังไม่คลี่คลาย