รัก และ ชัง | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

รัก และ ชัง

 

แขกวีไอพี”คนแรก” ที่เข้าพบ นายทักษิณ ชินวัตร หลังกลับมาอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า คือ สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา นั้น

ต้องถือว่า มากด้วยสีสัน

และเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกที่ทะลักล้น ออกมา นั่นก็คือ “ความรัก”

แน่นอน ความสัมพันธ์ 32 ปี ทำให้ทั้งสองฝ่ายแน่นแฟ้นต่อกันอย่างยิ่ง

แน่นแฟ้นทั้งส่วนตัว และการเมือง

โดยเฉพาะการเมืองนั้น เส้นทางของ2ตระกูลช่างคล้ายคลึงกัน

นั่นคือ อยู่ระหว่างการปั้นทายาท ให้ สืบทอดอำนาจ ต่อไป

ตระกูลฮุน เซน ส่งไม้ต่อให้ “ฮุน มาเนต” ไปแล้ว

ส่วนตระกูลชินวัตร กำลังอยู่ในขั้นตอน ฟูมพัก ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก้าวขึ้นเป็นผู้รับมอบภาระกิจนั้น

แน่นอนว่า ผู้เป็นพ่อ คือ ทั้ง “สมเด็จฮุน เซน” และนายทักษิณ ย่อมต้องการให้ การรับไม้ต่อนั้น ราบรื่น และประสบความสำเร็จ

โดยเฉพาะสมเด็จฮุน เซน ไม่สงวนท่าที มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

คือ จะไม่ยอมให้ ฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะ พรรคฝ่ายค้าน มีที่ยืน หรือมีที่เคลื่อนไหว ให้เป็นเสี้ยนหนามแห่งอำนาจ เด็ดขาด

เราจึงเห็นชะตากรรมฝ่ายค้านกัมพูชา เผชิญการถูกยุบพรรค ถูกจับกุมคุมขัง ถูกเนรเทศ และซุบซิบไปถึงขนาดลอบสังหาร ก็มี

พูดง่ายๆ สมเด็จฮุน เซน ที่แม้จะกุมอำนาจเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แต่ก็ชัง “ฝ่ายค้าน” อย่างยิ่ง

กำจัดได้ เป็นต้อง “กำจัด”

สกัดขัดขวางได้ ต้อง สกัด

แม้ว่าเรื่องดังกล่าว จะเป็นเพียง “กระแส”หรือ”ความรู้สึก”เท่านั้นก็ตาม

ตัวอย่างเช่น สมเด็จฮุน เซน สัมผัสได้ถึงกระแสคนรุ่นใหม่ในกัมพูชา โดยเฉพาะในโลกโซเชียลมีเดีย ที่ได้รับอิทธิพลกระแส”ส้ม”จากประเทศไทย

ทำให้เกิดความตื่นตัว และตั้งคำถามจากคนรุ่นใหม่ ต่อกลุ่ม”อำนาจเดิม”

ซึ่งแน่นอน หากไม่รีบควบคุม อาจจะบั่นเซาะ ทำลาย ฐานการเมืองของตนเองได้

สมเด็จฮุน เซน จึงไม่ปิดบังอำพราง ถึงความรู้สึกชัง “พรรคอนาคตใหม่” ที่กำลังเติบใหญ่ในประเทศไทย อย่างออกนอกหน้า

อะไร ที่เปิดช่องให้โจมตีได้ สมเด็จฮุน เซน จึงไม่รั้งรอ

ตอนที่พรรคก้าวไกล ชนะการเลือกตั้ง สมเด็จฮุน เซน ก็มีความเห็นทันทีว่าพรรคที่ได้รับชัยชนะควรมองไปไกลกว่านั้น เนื่องจาก “การชนะเลือกตั้งไม่ได้หมายความว่าคุณจะกลายมาเป็นนายกรัฐมนตรี จำเป็นต้องได้เสียงขั้นต่ำ 376 เสียง สำหรับจัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่แค่ 151 เสียง”

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

โดยหลังจากนายพิธาลิ้มเจริญรัตน์ แพ้โหวตไม่ได้เป็นนายกฯ สมเด็จฮุน เซน ก็โพสต์ผ่านโซเชียล อย่างลิงโลด ซึ่งเดลินิวส์ออนไลน์ นำเสนอไว้เมื่อ 13 กรกฎาคม 2566 ว่า

“ผมขอประกาศในวันนี้ว่า ความล้มเหลวของพิธาในการได้คะแนนโหวตมากพอ ต่อการเป็นนายกรัฐมนตรีไทย เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของฝ่ายค้านอันโหดร้าย”

“นี่ไม่ได้หมายความว่า ผมกำลังแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทย (แต่)ประเด็นของผมตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา คือ พวกกบฏ(ฝ่ายค้าน ฝ่ายต่อต้านในกัมพูชา)เหล่านี้คาดหวังมาตลอดว่า เมื่อพิธากลายมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พวกมันจะใช้แผ่นดินไทยในการรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลในกัมพูชา”

“ตอนนี้ความคาดหวังของกลุ่มฝ่ายค้านอันโหดร้ายได้มลายหายไปดั่งเกลือในน้ำ”

ความพลาดหวังของพรรคก้าวไกล แน่นอนตัวละครสำคัญ คือ พรรคเพื่อไทย ที่หันไปจับมือกับพรรคขั้วอำนาจเดิม

ซึ่งแน่นอน ย่อมเป็นที่ถูกใจของสมเด็จฮุน เซน

และ อาจจะถูกใจยิ่งขึ้น เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสและแนวโน้ม

ที่พรรคเพื่อไทยและก้าวไกล จะต้องเป็นคู่แข่ง ที่ห้ำหั่นกันในสนามการเมือง

จนน่าจะกลายเป็นการ”ชัง”กัน

“ชัง”อย่างที่สมเด็จฮุน เซน มีต่อพรรคก้าวไกล!

————–