ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 มกราคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | วิถีแห่งอำนาจ |
ผู้เขียน | เสถียร จันทิมาธร |
เผยแพร่ |
วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย/เสถียร จันทิมาธร
กดดัน จาก อินทรีวิเศษ (120)
การสรุปของเอี้ยก่วยในหุบเขารกร้างก็เหมือนกับการสรุปของเอี้ยก่วยระหว่างพบกิมลุ้นฮวบอ้วงเมื่อเตลิดจากกลุ่มของเที้ยเอ็ง
เพียงแต่ครั้งนี้มีการยกระดับไปอีกขั้น
สำนวน จำลอง พิศนาคะ ระบุ พลางหวนนึกถึงวิชาฝีมือที่ตนเคยฝึกหัดมาแต่ครั้งก่อนก็รู้สึกว่าเป็นความรู้อย่างในขั้นต่ำ แต่ครั้งเมื่อเอี้ยก่วยหวนนึกอีกทีก็เห็นว่า ถ้าหากตนมิได้มีความรู้ในครั้งกระนั้นมาเป็นพื้นฐานแล้วแม้ว่าในวันนี้ตนจะมาประสบกับเหตุการณ์อย่างประหลาดก็คงมิสามารถที่จะทำตัวให้เป็นผู้ที่มีกำลังฝีมือสูงได้ถึงเพียงนี้
สำนวน น.นพรัตน์ ระบุ จากนั้นเอี้ยก่วยครุ่นคิด หากตอนแรกปราศจากพื้นฐาน วันนี้ต่อให้มีประสบการณ์พิสดารก็ไม่สามารถบรรลุถึงขอบเขตขั้นนี้
อินทรีวิเศษจะอย่างไรเป็นสัตว์ปีกที่พูดไม่ได้ อย่างมากเพียงกระตุ้นชี้นำ แต่ไม่สามารถแนะนำสั่งสอน อย่าว่าแต่นี่ไม่อาจบอกอินทรีวิเศษไม่รู้จักวิชาฝีมือ เพียงแต่ทรงพลังมาแต่กำเนิดทั้งอยู่กับต๊กโกวคิ้วป่ายเป็นเวลานานมักซ้อมมือประกระบวนท่ากับท่านจึงจดจำวิธีรุกถอยจู่โจมได้บ้าง
สำนวน ว. ณ เมืองลุง ระบุ อินทรีแสนรู้อย่างไรก็เป็นเดียรัจฉานที่พูดไม่ได้ กระตุ้นแนะนำนั้นพอได้ อบรมบ่มชี้นั้นไม่มีทางกระทำได้เด็ดขาด เพียงมีพละกำลังมหาศาลทั้งยังติดตามต๊กโกวคิ้วป่ายนานปี
เคยเป็นคู่มือฝึกซ้อมให้ท่านอยู่เสมอมา จำท่วงท่ารุกถอยหลบหลีกของท่านได้บ้างเท่านั้น
กระนั้น การฝึกวิทยายุทธ์อย่างสำคัญกลับเป็นในเช้าที่ปรากฏเมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมา อินทรีใช้ปากคาบชายเสื้อเอี้ยก่วยฉุดลากไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นก้าวขายาวๆ กระโดดโลดลิ่วไป
เอี้ยก่วยถือกระบี่หนักฝ่าสายฝนติดตามไป
เดินทางเป็นระยะหลายลี้เริ่มได้ยินเสียงครืนครั่น ยิ่งเดินสุ้มเสียงยิ่งดังแสดงว่าเป็นเสียงน้ำอันมากมายมหาศาล พออ้อมผ่านช่องเขาเสียงดังสะท้านแก้วหูแทบแตก เห็นบนเขามีน้ำตกคล้ายมังกรขาวสายหนึ่งสาดเทลงมา กระแทกกระทั้นลงยังลำธารสายหนึ่ง
กระแสน้ำเชี่ยวกราก ในสายน้ำเจือปนต้นไม้ ก้อนหิน ชั่วพริบตาไม่ทราบพัดพาไปทิศทางใด
ยามนี้ฝนตกหนักกว่าเดิม ร่างเอี้ยก่วยเปียกชุ่ม เหลียวมองรอบข้างปรากฏละอองน้ำเลือนรางกลายเป็นทัศนียภาพประหลาดตา แต่เห็นน้ำป่ามีสภาพรุนแรง อินทรีใช้จะงอยปากดึงชายเสื้อเอี้ยก่วยคล้ายกับจะให้ลงไปในสายน้ำ
ยืดคอส่งเสียงร้อง กระโดดลงไป ยืนเกาะบนโขดหินใหญ่กลางสายธาร
ปีกซ้ายยื่นเฉียงตีหินที่กระแทกลงมาจากต้นน้ำก้อนหนึ่งพุ่งกลับไป รอจนกระแทกลงตามแรงน้ำก็ตีกลับไปอีก จู่โจมเช่นนี้ 5-6 ครั้งหินไม่สามารถพุ่งผ่านตัวมันจวบจนถึงครั้งที่ 7 หินแหวกพุ่งลงมา อินทรีขยับปีกตีใส่หินก็พุ่งพ้นจากลำธารร่วงลงบนฝั่ง
จากนั้นอินทรีกระโดดกลับมายังข้างกายเอี้ยก่วย
เอี้ยก่วยเข้าใจในบัดดล ทราบว่าครั้งกระโน้นพอฝนตกหนัก กระบี่อสูรต๊กโกวคิ้วป่ายจะมาฝึกซ้อมเพลงกระบี่ในสายน้ำป่านี้
แต่ตนเองไม่มีความสามารถเช่นนั้น ไม่กล้าทดสอบดู
ขณะรีรอลังเล อินทรีกางปีกใหญ่ออกเสียงสวบเมื่อปาดถูกตะโพกเอี้ยก่วยซึ่งไม่ทันระวังและไม่นึกว่าอินทรีจะทำอย่างนั้น
ร่างจึงร่วงหล่นลงไป
รีบใช้ท่วงท่าถ่วงพันชั่ง (โชยกึงตุ่ย) ทิ้งตัวลงบนหินใหญ่ที่อินทรีเคยยืนเกาะ 2 เท้าพอแช่น้ำป่าก็กระทบกระแทกจนส่ายร่างโงนเงน ยากที่จะยืนหยัดมั่น ในความครุ่นคิด “ผู้อาวุโสแซ่ต๊กโกวเป็นคน เราก็เป็นคน ท่านเมื่อสามารถยืนหยัดมั่น เราไฉนไม่สามารถ”
ดังนั้น กลั้นลมหายใจเกร็งพลังต่อสู้กับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก แต่เมื่อคิดยื่นกระบี่ไปปัดป่ายก้อนหินอันแฝงมากับน้ำป่า กลับไม่มีเรี่ยวแรง ผ่านไปชั่วธูปไหม้หมดดอกใช้เรี่ยวแรงหมดสิ้น ดังนั้น ยื่นกระบี่ยันกับก้อนหินกระโดดปราดขึ้นฝั่ง
หวังพักผ่อนหยุดหอบหายใจ
เด่นชัดยิ่งในเจตจำนงของอินทรีวิเศษ เด่นชัดยิ่งว่าต้องการให้เอี้ยก่วยเคี่ยวกรำท่ามกลางสายฝนและน้ำป่าอันเชี่ยวกราก
เหมือนกับที่กางปีกเหวี่ยงฟาดบนแท่นหินสูงแห่งสุสานกระบี่
เด่นชัดว่าต้องการให้เอี้ยก่วยฝึกปรือในกระสวนเดียวกันกับที่กระบี่อสูร ต๊กโกวคิ้วป่ายในกาลอดีต
เป็นการเคี่ยวกรำ โดยไม่มีการผ่อนปรน