เมื่อกองทัพเรืออิหร่าน ซ้อมรบโจมตีอิสราเอล

(CENTCOM) / AFP)

สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางเขม็งเกลียวขึ้นสู่ระดับสูงสุดอีกครั้งหนึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อกองทัพอิสราเอลเคลื่อนกำลังเข้าสู่ที่มั่นสุดท้ายของปาเลสไตน์ในดินแดนแคบเล็กริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่โลกรู้จักกันในชื่อ “ฉนวนกาซา”

เมืองที่ตั้งอยู่ใต้สุดของ กาซา เขตปกครองตนเองปาเลสไตน์ภายใต้การนำของกลุ่มฮามาสคือ ราฟาห์ เมืองเอกของเขตปกครองราฟาห์ ซึ่งแต่เดิมมีประชากรอาศัยอยู่เพียงแค่ 171,889 คน แต่หลังจากทหารอิสราเอลถล่มเมืองใหญ่ก่อนหน้าอย่างกาซาซิตี้ และข่านยูนิส บรรดาปาเลสไตน์พลัดถิ่นก็ทะลักเข้าสู่ราฟาห์ จนเมืองขนาดเล็กแห่งนี้เต็มไปด้วยปาเลสไตน์หนีภัยสงครามไม่น้อยกว่า 1.4 ล้านคน

คนทั้ง 1.4 ล้านคน ตกอยู่ในสภาพ “หลังพิงฝา” เพราะด้านเหนือคือกองทัพอิสราเอล ด้านใต้ถัดออกไปเพียงไม่กี่มากน้อยคือดินแดนของประเทศอียิปต์ ที่ส่งกำลังทหารส่วนหนึ่งเข้าไปประจำการตามแนวชายแดนเพื่อรับมือสถานการณ์ขั้นวิกฤตแล้ว

 

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมทุกฝ่าย ตั้งแต่สหประชาชาติ ไปจนถึงสหรัฐอเมริกา พยายามโน้มน้าวอิสราเอลให้เลิกล้มความพยายามโจมตีเพื่อยึดเมืองเล็กๆ แห่งนี้

ฟิลิปเป้ ลาซซารินี ข้าหลวงใหญ่เพื่อการให้ความช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในกาซา (ยูเอ็นอาร์ดับเบิลยูเอ) เตือนไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า การใช้กำลังทหารบุกราฟาห์ก็คือสูตรสำเร็จของหายนภัย ที่จะเกิดขึ้นกับพลเรือนตัวเล็กๆ นับล้านที่ไม่มีที่ไปอีกต่อไปแล้ว

ยาเซม โมฮัมเหม็ด อัลบูดาอิวี เลขาธิการองค์การสภาความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซีย (จีซีซี) เตือนว่า การบุกราฟาห์ จะยิ่งทำให้ทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางสั่นคลอนไร้เสถียรภาพมากยิ่งขึ้น

อียิปต์ ที่คัดค้านการบุกราฟาห์มากที่สุด เพราะเป็นประเทศที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงและสูงที่สุดหากปาเลสไตน์เรือนล้านหลบหนีทะลักข้ามแดนเข้าสู่คาบสมุทรซีนาย และกองทัพอิสราเอลส่งกำลังมาประจำการประชิดชายแดนของตน เตือนว่า สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างอียิปต์กับอิสราเอลที่ดำเนินมานานหลายสิบปี อาจถึงคราวหมดความหมาย

 

แต่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดก็คือ ปฏิกิริยาของอิหร่าน เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศอย่าง ฮอสเซน อามีร์อับดอลลาเฮียน ออกมาประกาศว่า อิสราเอลต้องเผชิญกับ “ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุด” หากตัดสินใจบุกเข้าราฟาห์ตามแผนสงครามกับฮามาสของตนเอง

เนื่องจากเพียง 1 วันหลังคำประกาศดังกล่าว สื่อทางการอิหร่านก็เผยแพร่วิดีโอการซ้อมรบของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (ไออาร์จีซี) ที่เป็นการซักซ้อมตามแผนโจมตีอิสราเอล

วิดีโอดังกล่าวซึ่งเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลอิหร่าน แสดงให้เห็นการโจมตีจากท้องทะเลด้วยจรวดและขีปนาวุธชนิดต่างๆ มีทั้งที่ยิงจากเรือ และจากเรือดำน้ำ สู่เป้าหมายสมมุติซึ่งถูกระบุว่า เป็นการจำลอง “พัลมาชิม” ฐานทัพอากาศสำคัญริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในบริเวณตอนกลางของอิสราเอล

นักสังเกตการณ์ระบุว่า การซ้อมรบครั้งนี้มองเป็นอย่างอื่นได้ยาก นอกจากจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนจากอิหร่านว่า สงครามกาซากำลังขยายตัวออกไปอย่างรุนแรง และในทิศทางที่ทุกคนเป็นกังวลกัน

 

พัลมาชิม เป็นฐานทัพอากาศใหญ่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของอิสราเอล เป็นฐานทัพที่ถูกใช้เป็น “ศูนย์กลางบัญชาการ” การรบในฉนวนกาซา มีพื้นที่สำหรับใช้เป็นโรงเก็บและบำรุงรักษาเครื่องบินรบของกองทัพอากาศอิสราเอลหลายโรง และใช้เป็นพื้นที่รองรับนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการทำศึกครั้งนี้ เพื่อส่งต่อเข้ารับการรักษาตัวอีกด้วย

เมื่อเดือนมกราคมนี่เอง ที่ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลใช้ฐานทัพอากาศแห่งนี้เป็นสถานที่ในการประกาศการโจมตีราฟาห์ พร้อมทั้งยืนยันด้วยว่า อิสราเอลจะโจมตีอิหร่านโดยไม่ลังเลใดๆ หากขัดขวางปฏิบัติการดังกล่าวของอิสราเอล

อิหร่านไม่เพียงใช้การซ้อมรบครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณเตือนอิสราเอลเท่านั้น ยังใช้เป็นเครื่องมือแสดงแสนยานุภาพของไออาร์จีซีพร้อมกันไปด้วย

มีการยิงขีปนาวุธอย่างน้อย 2 ชนิดในการซ้อมรบครั้งนี้ หนึ่งคือ อีมัด อีกหนึ่งคือ คัดร์

อีมัด (Emad) เป็นขีปนาวุธพิสัยทำการไกล บรรทุกน้ำหนัก (หัวรบ-สัมภาระ) ได้ 750 กิโลกรัม พิสัยทำการ 1,700 กิโลเมตร อิหร่านอ้างว่า เป็นจรวดที่มีความแม่นยำสูง คลาดเคลื่อนจากเป้าหมายเพียงแค่ 10 เมตรเท่านั้น

คาดร์ (Ghadr) เป็นจรวดโจมตีแบบสองตอน หากเป็น คาดร์-110 ที่พัฒนาขึ้นล่าสุด ตอนแรกจะใช้เชื้อเพลิงแบบเหลว ส่วนตอนที่สองใช้เชื้อเพลิงแข็ง ซึ่งทำให้มีพิสัยทำการได้ไกลถึง 1,500 กิโลเมตร ทั้งๆ ที่ถูกจัดเป็นขีปนาวุธพิสัยกลางเท่านั้น ไออาร์จีซีที่เป็นผู้พัฒนาอ้างว่า มีความแม่นยำสูงมาก คลาดเคลื่อนจากเป้าโจมตีในรัศมีเพียง 4 เมตรเท่านั้น

ผู้บรรยายประกอบของอิหร่านระบุว่า เป้าหมายสมมุติในการโจมตีในการซ้อมรบครั้งนี้คือ ฐานทัพอากาศที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนยึดครองของระบอบไซออนนิสต์

 

ฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการกองทัพไออาร์จีซี ให้สัมภาษณ์อ้างว่า กองทัพอิหร่านประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในการยิง “ขีปนาวุธพิสัยไกล” จากเรือรบ ซึ่งสำคัญมากเพราะเท่ากับเป็นการเพิ่มพูน “อำนาจและอิทธิพล” ของกองทัพเรืออิหร่าน เนื่องจากสามารถโจมตีศัตรูได้จากที่ใดก็ได้บนพื้นผิวมหาสมุทร

เรือรบที่ซาลามีกล่าวถึงคือ เรือรบอเนกประสงค์ ชาดิด มาห์ดาวี ที่มีขีดความสามารถในการติดตั้งอาวุธหลากหลาย ตั้งแต่ขีปนาวุธ จรวด โดรน และระบบเรดาร์ นักสังเกตการณ์เชื่อว่า อิหร่านยิงขีปนาวุธดังกล่าวจากจุดใดจุดหนึ่งในบริเวณอ่าวโอมาน เพื่อโจมตีเป้าหมายสมมุติในทะเลทรายแห่งหนึ่งใจกลางประเทศอิหร่าน

นอกจากขีปนาวุธแล้ว ไออาร์จีซียังแสดงแสนยานุภาพของเรือเร็ว เรือลำคู่ และเรือดำน้ำ ซึ่งใช้ในการปฏิบัติการทางทหารจำลองครั้งนี้ นอกจากนั้น ยังมีการยิงจรวดคาเอม ซึ่งเป็นจรวดโจมตีทำนองเดียวกับจรวด “เฮลล์ไฟร์” ของสหรัฐอเมริกาด้วยอีกต่างหาก

ส่วนเรือดำน้ำ ถูกนำมาใช้ในการยิงตอร์ปิโด เพื่อทำลายเรือรบเป้าหมายในการซ้อมรบครั้งนี้

กระนั้น ประเด็นที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือ อิสราเอลยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรากับการส่งกองทัพบุกราฟาห์แต่อย่างใดทั้งสิ้น

หรือโศกนาฏกรรมระดับหายนะกำลังจะเกิดในตะวันออกกลางอีกครั้ง!