ในประเทศ : 2 พรรคใหญ่ “รุมตี” มีขบวนการล้ม “บิ๊กป้อม” “ข้อแม้-ปัจจัย” เลื่อนเลือกตั้ง ของ “เขย่า” ขวัญปีใหม่ “ตู่-โฆษก กห.”

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ในช่วงท้ายของปี 2560 ก่อนเข้าสู่ศักราชใหม่ ความแน่นอนที่ “นายกฯ ตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ย้ำมาตลอดปี 2560 ว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 อย่างแน่นอน กลับหายวับไปกับตา

ไม่เพียงยืนหยัดชัดเจนกับประชาชนทั้งประเทศ แต่เป็นการพูดต่อหน้าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นราวเดือนพฤศจิกายน 2561

แต่แล้วช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2560 กับการให้สัมภาษณ์กับสื่อ พล.อ.ประยุทธ์กลับกล่าวถึงการเลือกตั้งที่ตัวเองเคยให้คำมั่นไว้แล้วว่า

“ทุกอย่างจะเกิดขึ้นไม่ได้ ผมประกาศไว้เลยสถานการณ์ถ้ายังมีความขัดแย้งสูง การเลือกตั้งได้หรือเปล่าผมไม่รู้ เพราะฉะนั้น อย่าทำให้มันเกิดขึ้น ผมไม่ได้เป็นคนทำ หากอยากให้มีการเลือกตั้ง ก็ขอให้มีความสงบสุขเรียบร้อย ถ้าไม่สงบเลือกแล้วถ้าเลือกตั้งไปแล้วยังมีการตีกันอยู่ผมก็รับผิดชอบไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เพียงแต่พูดปรามไว้สำหรับคนที่จะสร้างความวุ่นวาย ประชาชนเองก็ต้องดู ถ้าใครทำตัวแบบนี้ก็อย่าไปยุ่งหรือสนับสนุน ไม่เช่นนั้นก็จะผิดกันไปหมด ขอร้องอย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน มีเส้นทางไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยก็ไป”

ทำเอาเซียนการเมืองทั้งหลาย งงในงงกันเป็นแถบ

แม้หลายคนเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งอาจจะยังไม่เกิดขึ้นภายในปี 2561 แต่เชื่อว่าฝ่ายที่ไม่ต้องการที่จะให้มีการเลือกตั้ง จะใช้วิธีการแยบยลในการใช้กฎหมายที่เขียนกันขึ้นมาเอง ให้เกิดประโยชน์ต่อพวกพ้องตัวเอง อย่างที่เคยเกิดขึ้นให้เห็นมานักต่อนักแล้ว

ทำให้ไม่มีใครคิดว่านายกฯ จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในช่วงปลายปี

ไม่เพียงไม่รับรองว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ แต่ “นายกฯ ตู่” ยังออกมาโบ้ย 2 พรรคใหญ่ ออกมาตีตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยตีกันจนเกิดปัญหามาแล้ว

“จำได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมาเคยเกิดเรื่องมาแล้วจาก 2 พรรคใหญ่ แล้วอนาคตข้างหน้าจะแก้ปัญหาอย่างไร ยังไม่มีใครบอกผมเลย แต่ทุกวันนี้กลับมาตีผม ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ วันนี้ท่านต้องแสดงออกว่าท่านจะไม่ทำหรือสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นมาอีก ขอร้องว่าอย่าพูดอย่างเดียว ขอให้ทำด้วย แล้วประชาชนก็ต้องไปดู ไม่ใช่ว่ากลายมารุมตีผม ผมยังไม่รู้ว่ามาตีผมเรื่องอะไร ผมก็พูดกับทุกคน”

…ทั้งๆ ที่ปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากกฎหมายที่มีปัญหา กฎหมายลูกขัดกับกฎหมายแม่ จนต้องใช้มาตรา 44 ออกมาแก้ปัญหาให้กับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง

ทำให้หลายฝ่าย ไม่เพียงแต่นักการเมืองออกมาเรียกร้องให้มีการปลดล็อกคำสั่ง คสช. ที่ 53/2560 เพื่อเปิดทางให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองให้สอดคล้องกับ พ.ร.ป.พรรคการเมือง และกฎหมายลูกอีก 2 ฉบับ ที่กำลังจะเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวาระ 2-3 ในเดือนมกราคม 2561 หากเสร็จสิ้นกระบวนการก็จะเข้าสู่โหมดแห่งการเลือกตั้ง ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2560

โดยกฎหมายลูก 4 ฉบับ ที่ประกอบไปด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่มีผลบังคับใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จะเป็นตัวกำหนดการเลือกตั้งว่าจะมีขึ้นเมื่อใด ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ที่บัญญัติชัดเจน ว่าจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 150 วัน หลังจากที่กฎหมายลูกทั้ง 4 ฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้ว

ดังนั้น ถ้าเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย ไม่ว่าจะอย่างไรภายในปีหน้าจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งในปี 2561

แต่เมื่อนายกฯ ออกมาพูดทำนอง “มึงมาพาโวย” ไม่รับรู้ ไม่ยืนยัน กำหนดเวลาเลือกตั้ง จะยิ่งทำให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ยิ่งทิ้งดิ่งลงเหว

เพราะคำพูดครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเพียงการ “โยนหินถามทาง” หรือ “ตัดไม้ข่มนาม” ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตัวนายกฯ เอง เพราะคำพูดของผู้นำประเทศย่อมมีผลต่อคนทั้งประเทศ และในสายตาของชาวโลก เนื่องจากที่ผ่านมาโรดแม็ปของนายกฯ มักจะถูกเลื่อนมาตลอดในทุกๆ ปี การกระทำดังกล่าวย่อมทำลายความน่าเชื่อถือของตัวผู้นำเอง

เมื่อประชาชนไม่เกิดความมั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาล เม็ดเงินในการลงทุนทั้งธุรกิจขนาดย่อม และขนาดใหญ่ ต้องชะลอตัว ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย สถานการณ์การเงินฝืดเคือง

ดูจากดัชนีชี้วัดอย่างง่าย เมื่อโทรโข่งของรัฐบาล อย่างไก่อู พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกมาออกตัวแทน นายกฯ ว่า แม้นายกฯ จะประกาศไม่รับของขวัญปีใหม่ แต่ก็ขอยึดธรรมเนียมปฏิบัติของทหาร คือไม่รับของขวัญในช่วงเทศกาล

จากนั้นมีการรับลูกตามมา เมื่อ “เดอะฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ แห่งกระทรวงคลองหลอด เอาด้วย ประกาศไม่รับของขวัญ ขอเพียงการ์ดอวยพรก็พอ

ทำเอาบรรดาข้าราชการน้อยใหญ ทำตัวกันไม่ถูก จนต้องไม่รับของขวัญไปตามๆ กัน เพื่อไม่ให้ล้ำหน้านาย…

ผลกระทบที่ตามมาคือกระเช้าของขวัญขายไม่ได้ ไม่ว่าจะตามร้านค้า ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ได้รับผลกระทบทันที จนสมาคมกระเช้าของขวัญออกมาบ่นถึงความเดือดร้อนที่ได้รับ เพราะหากกระเช้าของขวัญขายไม่ได้ เท่ากับว่าของที่อยู่ในกระเช้าก็ไม่ได้ถูกขายทอดตลาดเช่นกัน ส่งผลกระทบกันเป็นลูกโซ่ยันโรงงานผลิตสินค้า

จึงเห็นได้ชัดว่า เพิ่งเปิดศักราชใหม่มาไม่ถึง 1 สัปดาห์ ก็มีปัญหาที่เป็นผลพวงมาจากรัฐบาลทหารที่ช่างเถรตรง ถึงแม้จะเป็นปัญหาเล็กๆ และเมื่อมองห่วงโซ่การผลิต เพราะผลที่ตามมา ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน

ไม่เพียงแต่ปัญหาเศรษฐกิจ ในห้วงปีจอนี้ รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกอบกู้วิกฤตศรัทธาของประชาชนที่ให้การสนับสนุนรัฐบาล เพราะในช่วงท้ายปีระกา ผู้ที่ถูกพายุถาโถมอย่างหนักย่อมหนีไม่พ้นพี่ใหญ่อย่าง “บิ๊กป้อม” กับโรคนาฬิกาซินโดรม ที่ถูกงัดข้อมูลออกมาอย่างต่อเนื่องจากสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก จนกระทั่งล่าสุดเรือนที่ 15 กับราคาล้านกว่าๆ

แต่ไม่ว่าจะเรือนไหน ก็ไม่มีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินไปยัง ป.ป.ช. แต่ก็ต้องงงไปอีกว่า เห็นจะจะขนาดนั้น นายกฯ ยังออกมาขอให้ลดราวาศอก ตามมาด้วยขุนพลคู่ใจ ที่ครั้งก่อนแสดงตัวเป็นแหล่งข่าว ออกมาชี้แจงว่า นาฬิกาที่แสนแพงนั้นเป็นของเพื่อน “บิ๊กป้อม” ส่วนแหวนเพชรเป็นของแม่!!!

และในครั้งนี้ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ก็ออกมาบอกอีกว่า “มีขบวนการล้มล้าง “บิ๊กป้อม” เพื่อให้ คสช. อ่อนแอ” ยิ่งทำให้เห็นความเสื่อมศรัทธาที่กำลังอุบัติขึ้น

ทว่าเมื่อไม่มีใครชี้ชัดได้ว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นภายในปี 2561 หรือไม่ แต่ก็ยังเป็นความหวังเดียวของผู้ฝักใฝ่ประชาธิปไตย แม้อาจจะเป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ

ที่แน่ไปกว่าการมีหรือไม่มีการเลือกตั้ง คือการกอบกู้รัฐนาวาทหาร ที่กำลังเผชิญ “วิกฤตศรัทธาอย่างหนัก” ก่อนที่จะทิ้งดิ่งลงสู่ก้นเหว จนยากที่จะกู้คืนได้…!!!

ดังนั้น การจะปลด จะถอด จะงัด จะแงะ เพื่อแก้ปัญหา จึงขึ้นอยู่ที่นายกฯ แต่เพียงผู้เดียว…!!!