เผยแพร่ |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร
ในหนักมีเบา?
พูดแบบปลอบประโลม สำหรับพรรคภูมิใจไทย
ในหนัก มีเบา
กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 1 ให้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี จากการถือหุ้นหจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น
เบา เมื่อ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ประกาศจุดยืน การยื่นยุบพรรคไม่เป็นนโยบายของพรรคก้าวไกลเด็ดขาด
ดังนั้น พรรคก้าวไกล จึงไม่ขยายผล หรือดำเนินการกดดัน จนกรณีนายศักดิ์สยาม ไปถึงจุดประหารชีวิตทางการเมือง ทั้งในแง่บุคคลและในแง่พรรค
เพียงแต่จะปล่อยให้เป็นการขับเคลื่อน”เดิม”ที่ พรรคร่วมฝ่ายค้านในรัฐบาลชุดที่แล้ว ได้ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้พิจารณาเรื่องนี้ในความผิดฐานยื่นทรัพย์สินเป็นเท็จ ซึ่งเป็นหน้าที่ของป.ป.ช.ที่จะต้องเร่งดำเนินการไต่สวนต่อไป
ซึ่งก็คงทำให้พรรคภูมิใจไทยไม่ถูกกดดันจนเกินไปนัก
แม้ว่า”นักร้อง” นายศรีสุวรรณ จรรยา รวมถึง ทนายอั๋น นายภัทรพงศ์ ศุภักษร จะเคลื่อนไหวขยายผลเรื่องนี้แล้ว
แต่ก็ดูจะเป็น”รูทีน”ทางการเมือง คงไม่มีแรงกระแทกทางการเมืองมากเท่าไหร่
หากเทียบกับห้วงก่อนเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ เปิดศึกกับพรรคภูมิใจไทย หนักกว่านี้มหาศาล
และวันนี้ นายชูวิทย์ ปลีกตัวไปรักษามะเร็งที่รุมเร้า และได้ขออโหสิกรรมกับคู่กรณี จึงทำให้ศึกระหว่างนายชูวิทย์กับพรรคภูมิใจไทยสงบลง
ไม่เช่นนั้น คงเลือดเดือดกว่านี้แน่
เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนายศักดิ์สยาม นั้น ให้ข้อมูลและเบาะแส ที่สามารถ”ขยายผล”ได้มากมายหลายประเด็น
และหลายประเด็นนั้นอาจต้องลุ้นกันถึงขั้น”ประหารชีวิตทางการเมือง”เลยทีเดียว
แต่ ก็เป็นความโชคดีของพรรคภูมิใจไทย ที่คู่กรณีร้างรากันไปก่อน
อย่างไรก็ตาม พรรคภูมิใจไทย จะวางใจ ในภาวะ “หนักมีเบา” นี้ไม่ได้
เพราะในทางการเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้
ยิ่งมี”หัวเชื้อ”คาไว้อยู่เช่นนี้ ยิ่งวางใจอะไรไม่ได้เลย
แม้ว่าที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทย จะวางตนเป็นกลางๆทางการเมือง ไม่หัก หรือเป็นศัตรูกับใคร
แต่เมื่อกรณีนายศักดิ์สยาม ได้ขับเคลื่อนไปแล้ว ขบวนการทางกฏหมาย ผ่านปปช. กกต.และรวมถึงกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องเดินหน้าไป
ซึ่งหากมีเงื่อนไขทางการเมืองมาเป็นตัวเร่ง อะไรก็เกิดขึ้นได้
พรรคภูมิใจไทย จากที่เคยสบายๆและใช้ประโยชน์จากการเป็นกลางๆ สามารถเข้า”ขั้ว”กับฝ่ายไหนก็ได้ คงต้องเตรียมการรับมือโดยไม่ประมาทไม่ได้
อย่างที่เราทราบ พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้เป็นพรรคที่พึ่งกระแส แต่เป็นพรรคที่อิงกับบุคคลและศูนย์การนำพรรคอย่างเข้มข้น
ส.ส.ของพรรคเป็นส.ส.เขต ไม่ใช่ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ
ดังนั้นการจะประสบความสำเร็จทางการเมือง ไม่อาจพึ่งกระแสพรรค ต้องอาศัยพลัง”บุคคล”และพลัง”บ้านใหญ่” เป็นหลัก
แน่นอนว่าต้องสมบูรณ์ ด้วย”ทุนและอำนาจ(ทางการเมือง)” อย่างมาก
ซึ่งตลอดมา ตระกูล”ชิดชอบ” ถือเป็นเสาหลักของพรรค
ในวันนี้ เมื่อนายศักดิ์สยาม ต้องถอยออกจากการเมืองหลัก ก็ย่อมส่งผลสะเทือน
จึงน่าสนใจว่า ตระกูลชิดชอบจะปรับแนวทางอย่างไร
ครูใหญ่อย่างนายเนวิน ชิดชอบ ต้องมาใกล้ชิดการเมืองมากขึ้นหรือไม่
หรือจะเปิดโอกาสให้”ชิดชอบ”รุ่นที่ 3 เร่งขึ้นมามีบทบาท
นี่คือสิ่งที่ต้องเฝ้ามองต่อไป