การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ – ฉันตายแล้วเกิดใหม่นับพันๆ ครั้ง

[เราอยู่อย่างโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเปล่าด้วยดวงใจที่เป็นเอกเทศ* 1

โดดเดี่ยวด้วยชีวิตและวิญญาณ

โลกหมุนไปอย่างปราศจากคู่เคียง แต่ทว่าท่ามกลางความเคลื่อนไหวอันได้จังหวะสัมพันธ์กับโลกลูกอื่น และเรานั้นก็โลดเต้นไปอย่างเดียวดาย ท่ามกลางสิ่งที่เราคิดว่าเป็นคู่ของเรา แต่ทว่ากลับเป็นสรรพชีวิต ไม่มีอะไร และไม่มีอะไร นอกจากความว่างเปล่า และเป็นความว่างเปล่าอันนิรกาล

กุมภาพันธ์ 2504]

 

หัวสมองของฉันยังคงขาวโพลนไปหมด แต่ในสำนึกเลือนราง บทกวีจากหนังสือปกแข็งยังคงร่ายรินมา

ปี พ.ศ.2504 ฉันอยู่ในส่วนใดของโลกใบนี้นะ หรือจะยังเป็นเพียงดวงวิญญาณเล็กๆ ที่รอจะมาเกิดกับใครสักคน

แล้วคำว่า “นิรกาล” มันแปลว่าอะไรกัน

“มันดีมั้ย หนูชอบมันหรือเปล่า”

ชายเจ้าของร้านเงยหน้าขึ้นจ้องตาฉัน ผู้ที่กำลังนอนอ่อนเปลี้ยอยู่บนฟูกนิ่ม

ฉันไม่ควรส่ายหน้า ทว่าก็พยักหน้าไม่ลง จึงยังคงแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น

เมื่อวันก่อนหน้า ฉันเพิ่งอ่านบทกวีของ “ราช รังรอง” อีกบทไป และมันก็รินไหลต่อเนื่องในหัวฉันอีก

[เธอมองดูดวงตาอันเลื่อนลอยของฉันอย่างสงสัย พลางถามฉันว่า ฉันกำลังฝันถึงอะไร

ฉันบอกเธอว่า ฉันเพียงแต่นึกถึงเรื่องราวบางสิ่งบางอย่างที่ผ่านไปในชีวิต ฉันหาได้ฝันไม่

เธอส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวว่า สิ่งที่ฉันบอกว่าไม่ นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันฝัน

ฉันหัวเราะและบอกเธอว่า ถ้าเช่นนั้นฉันก็คงจะได้ฝันมาแล้วตลอดเวลา

ฉันฝันถึงสิ่งที่อาจเป็นไปได้และอาจเป็นไปไม่ได้

ฉันฝันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่เคยเกิดขึ้น

ความฝันนั้นเป็นภาพนิมิตอันบรรเจิดแจ่มและน่าสะพรึงกลัว

เราฝันเมื่อหลับและฝันเมื่อคืน ฝันกลางคืนและฝันกลางวัน

และแล้วความฝันนั้นก็สูญสลายไปในฝุ่นของสีและธุลีของแสง]

 

“อีกทีนะ เฮียชอบ”

น้ำเสียงต่ำพร่าดังออกมาจากลำคอเผือดแดด นายจ้างผู้ไม่เคยเป็นผู้ชายสูงโปร่งบาง ปราศจากผมถักเปียอย่างที่ฉันแต่งเติมให้ มีเพียงไรหนวดเคราแข็งหนา กับสาบเหงื่อระเหยมาจนจำกลิ่น ไม่พูดเปล่า ยังซุกจมูกเข้ามาอย่างดาลใจ

“พอแล้ว”

เสียงฉันอาจจะแผ่วเบาเกินไป จึงเหมือนไม่มีการรับรู้

“อีกที หนูมีของดีจริงๆ”

[ฉันฝันถึงสิ่งธรรมดาที่สุด

ฝันถึงทุ่งนากว้างที่อร่ามไปด้วยสีทองของรวงข้าว

ฝันถึงตรอกซอกที่คร่ำคร่าไปด้วยสีดำของความโสโครก

และฝันถึงตึกใหญ่ที่ดื่มด่ำอยู่ด้วยสีแดงของกิเลส

ฉันฝันถึงสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด

ฝันถึงสรวงสวรรค์ที่งดงามไปด้วยรูปลักษณ์ของเทพบุตรและเทพธิดา

ฝันถึงซากศพที่กลับผุดขึ้นมาสร้างความอัปลักษณ์ให้แก่มนุษย์…]

ฉันเกือบสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อพลันมีแฉกลิ้นฉกแลบเข้ามา นัยน์ตาดั่งงูเหลือบดูฉันในชั่วขณะ แดดยังสาดมาจากช่องด้านบน นายจ้างขุดค้นเข้าไปในร่างกายฉัน

 

ฉันรู้ดีหรอกว่าจะได้พบอะไร ในตึกแถวเก่าๆ แห่งนี้ บนชั้นสองของโถงล่างที่ระเกะระกะด้วยหนังสือสุมหนา มีฝ้าฝุ่นจับอยู่ทุกหนทุกแห่ง หนังสือจำนวนมากปกฉีก สันอ้าร่องแร่ง กระดาษมีคราบน้ำเปียกหนา แต่ในทุกๆ วันก็ยังมีคนเดินเข้ามา บ้างจะซื้อน้ำสีเหลืองๆ ในตู้แช่กิน บ้างจะเข้าไปนั่งอ่านนิยายจีน บ้างเลือกหนังสือเอายืมไปอ่านที่บ้าน และบนแผงนิตยสารละลานตานั้น มีอยู่หลายฉบับที่ต้องรัดม้วนหนังว้อง ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ให้

ฉันได้รู้จักนิยายอีกแบบที่ช่างน่าประหลาดใจ เต็มไปด้วยคำศัพท์แปลกใหม่ มีคำเรียกอวัยวะต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา และน่าแปลกยิ่งนัก แม้ตั้งใจจะไม่อ่านอีกก็กลับอดไม่ได้

เป็นนายจ้างคนใหม่เองที่คอยส่งเล่มใหม่ๆ ให้ บางครั้งก็ชี้ชวนให้ดูรูปในหน้าภาพสี บางคราวก็มีเสียงหัวเราะอย่างขบขัน และที่ทำให้ฉันยอมจำนนก็คือ ทุกครั้งที่หนังสือเล่มใหม่ส่งมา จะมีใบเขียวใบแดงซ่อนไว้ด้านใน

มันเหมือนเกมปริศนา ให้ฉันคอยหาว่า ใบแดงจะอยู่ในหน้าไหน บางครั้งยังมีใบเขียวอยู่หลายใบ ถ้าฉันไม่พลิกเปิดทุกหน้าก็อาจจะทำมันตกหล่นไป

ถ้าฉันไม่ใส่ใจ ก็จะไม่ได้สักใบเขียวใบแดง

 

แล้วมันก็เริ่มขึ้นง่ายๆ ในบ่ายวันหนึ่ง ก่อนวันที่ฉันจะได้รับหนังสือบทกวี

“หนู ขึ้นมาบนนี้หน่อยสิ”

มีเสียงเรียกมาจากบนบันได ยืนที่ชั้นล่าง แหงนมองขึ้นไป สัญชาตญาณบอกฉันว่า คงจะมีเรื่องไม่ปกติเป็นแน่

แต่ฉันจะทำอย่างไรได้ ใบเขียวใบแดงที่ค่อยๆ ทยอยเก็บไว้ ม้วนหนาขึ้นทุกวัน และฉันก็คิดว่ามันยังคงเป็นความหวัง

[ฉันฝันถึงความหวังของมนุษย์

ฝันถึงมนุษย์คู่แรกผู้ท้านรกและสวรรค์ เพื่อสร้างโลกขึ้นมาให้อยู่ในหว่างกลาง

เราอาจฝันไปได้ต่างๆ นานา

ความฝันอาจจะสดชื่น ความฝันอาจจะขมขื่น

แต่เราก็ได้เคยฝันแล้ว และยังจะต้องฝันต่อไป]

 

“เฮียได้เล่มใหม่พิเศษมา” นัยน์ตาจ้องฉันอย่างมาดหมาย ความไม่ไร้เดียงสาก็ทำให้ฉันเข้าใจมันด้วย

“เข้ามาดูสิ”

ที่หน้าสีแผ่นกลาง มีภาพผู้หญิงคนหนึ่งแหงนเงยใบหน้าไปข้างหลัง ผมยาวสลายลงเคลียไหล่ ปลายนิ้วสอดแทรกเข้าไปในเส้นผมของชายอีกคนหนึ่ง ที่ซุกใบหน้าจมหายไป

แล้วมันก็เกิดขึ้นอย่างเรียบง่าย ฉันไม่อาจรู้จักตัวเองอีกต่อไป และอีกหลายๆ ใบหน้าก็ผ่านเข้ามาในความทรงจำ

เคยหลบหนีมาหลายต่อหลายครั้ง การกระเสือกกระสนจะพ้นจากพวกนั้นมา เพียงเพื่อว่าจะสูญสลายงั้นหรือ

[เมื่อเราก่อกองไฟขึ้น และปล่อยให้มันลุกโรจน์จนกระทั่งมอดดับ สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเถ้าถ่าน

เมื่อเราโค่นต้นไม้ลง และเลื่อยมันออกเป็นแผ่นๆ สิ่งที่ตกค้างอยู่ก็คือขี้เลื่อย

เมื่อเราทำลายภูเขาลง สิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือที่ราบ

เมื่อเราปล่อยให้เวลาผ่านไป สิ่งที่เรายังคงจดจำได้เสมอก็คือความหลัง]

ฉันได้ยินเสียงครางของตัวเอง กับความรู้สึกอันแผ่ซ่านไปทั่วเนื้อตัวร่างกาย จนปลายเท้าแทบบิดงอครูดไปกับพื้นไม้กระดานที่ลั่นเอียดอาด นายจ้างเพียงคุกเข่าลงเท่านั้น และรูดกางเกงของฉันลง

มีแสงสีสันต่างๆ ผ่านเข้ามาอย่างพร่าพร่าง แต่ชัดเจนสุดคงเป็นสีแดง ธนบัตรเหล่านั้นโปรยหว่านรอยยิ้มให้ฉัน และมันก็ค่อยๆ ปลอบประโลมว่า

ไม่เห็นจะเป็นไร

ไม่เห็นจะเป็นไร ตราบใดที่ไม่ได้เจ็บปวด

อย่างน้อย ก็ยังไม่เจ็บปวด

 

ฉันเคยถูกคนอื่นๆ ดื่มกินมาบ้างแล้วก่อนหน้า หลายใบหน้าเคลื่อนผ่านเหมือนภาพทิวทัศน์นอกรถบัสที่แล่นไป แต่ก็น่าประหลาดใจ ชายเจ้าของร้านหนังสือกลับทำให้ฉันร่วงลงหุบเหวได้ลึกที่สุด

อย่างถี่กระชั้น ลมหายใจของฉัน กับไอแดดแผดร้อนแนบหลังไหล่ ฉันอยากจะกระถดหนี แต่มือแข็งยังยึดมั่นไว้ กลัดแขนกับข้อพับ ซึ่งก็แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับพันธนาการ

ฉันอยากจะอ่านบทกวี และอยากมีช่วงเวลาสวยๆ สำหรับสิ่งที่เอ่อท้นอยู่เต็มหัวใจ ฉันยังคงเฝ้าฝันใฝ่ วันที่จะได้วิ่งบนลานดินกว้างๆ รับเอาอุ่นไอ และหย่อนเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงในหลุมดินฉ่ำชื้น

หาก ณ ห้วงยามนั้น ผิวเนื้อของฉันก็ปริแตกแหวกออก รับต้นหนามเข้าไป

เกือบเจ็บ…แต่ก็พอทนได้ นายจ้างคนใหม่ดูจะรู้วิธีจะค่อยๆ จูงฉัน

 

มันเกินจะพูดหรือเขียนว่าเป็นอย่างไร ใกล้เคียงที่สุดก็ตอนที่นังปีศาจร้ายอัมพรสอนให้ เหมือนถูกเข็มแหลมนับพันสาดซัดเข้ามาในห่าเดียว ปล่อยกระแสแผ่ซ่าน ผ่านไปจนถึงแนวสันหลัง การกระทำของนายจ้างออกคำสั่งให้ร่างฉันทรยศจิตใจ แรงตะโบมหนักเบาสลับกันไป จนกระทั่ง…

“ปล่อย! ปล่อย!”

“แทนตัวเองว่าหนูสิ” คำกระซิบตอนกลับมา

“มะ ไม่”

“น่า แล้วเฮียจะให้พันหนึ่งเลย…พูดให้เฮียฟังหน่อย”

ไม่มีอะไรต้องคิดมากไปกว่านี้ กับสิ่งที่ได้รับและกำลังจะไขว่คว้าได้ ท่ามเสียงกึกกักของบางสิ่งบางอย่างกระทบกันใกล้ๆ เสียงแก้วน้ำสั่นกริ๊กๆ บนโต๊ะข้างเตียง ฉันไม่จำเป็นต้องประวิงเวลาอีกต่อไป

“พูดว่าอะไร…”

[ความฝันคือสิ่งที่เกิดขึ้นและดับลงโดยไม่มีอะไรที่จะหลงเหลืออยู่อีก]

 

ฉันกำลังอยู่กับความจริง และจริงอย่างที่สุดก็คือเนื้อตัวร่างกายของฉัน

เมื่อมันกำลังสะท้านสะเทือนกับการเคลื่อนไหว เสียวซ่านกระสันโดยไม่พร้อมจะให้มันขาดตอนลง ฉันคงจะพอเขียนบทกวีได้อีกหลังจากนี้ นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดเมื่อขึ้นบันไดไปชั้นบนครั้งแรก

“พอแล้ว! พอเถอะ! อย่าทำหนูเลย!”

เสียงแก้วพลัดตกเปรื่องแตก ลิ้นชุ่มน้ำลายจู่โจมบนตูมอกฉัน จิกเล็บลงกับโหนกไหล่หนานั้น ฉันตายแล้วเกิดใหม่นับพันๆ ครั้ง ตั้งแต่นั้น


—————————————————————————-
*บทกวีของ ราช รังรอง จากเล่ม ขอบกรุง