คณะทหารหนุ่ม (75) | อาทิตย์-ชวลิต กับการกลับเข้ารับราชการคณะทหารหนุ่ม

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

กบฏ 9 กันยา” เป็นข้อพิสูจน์ที่หนักแน่นและชัดเจนว่า เพื่อน จปร.7 และคณะทหารหนุ่มคนอื่นๆ ไม่ได้ให้ความร่วมมือหรือเกี่ยวข้องกับ พ.อ.มนูญ รูปขจร อีกต่อไปแล้ว การกลับเข้ารับราชการจึงน่าจะมีหนทาง

แต่ตราบใดที่ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก คณะทหารหนุ่มต่างรู้ดีว่า โอกาสที่จะกลับเข้ารับราชการไม่มีทางเป็นไปได้เลย

จนกระทั่งเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อ 27 พฤษภาคม พ.ศ.2529 พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แล้ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้ารับตำแหน่งแทน

หนทางในการกลับเข้ารับราชการก็สว่างไสวขึ้นทันที

ปลายเดือนสิงหาคม พ.ศ.2529 กองทัพบกประกาศว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบกมีนโยบายที่จะรับบรรดากลุ่มนายทหารหนุ่มที่ได้รับนิรโทษกรรมกลับเข้ารับราชการใหม่

และในที่สุด 17 กันยายน พ.ศ.2529 กองทัพบกก็ได้ออกประกาศคำสั่งรับกลุ่มนายทหารหนุ่มกลับเข้ารับราชการใหม่ สังกัดกองทัพบก

เวลา 09.30 น. วันอังคาร 2 กันยายน พ.ศ.2529 ก่อนจะมีคำสั่งกองทัพบกให้คณะทหารหนุ่มกลับเข้ารับราชการอย่างเป็นทางการ พ.ท.สุรพล ชินะจิตร ประสานงานนำคณะนายทหารหนุ่มรวม 29 นาย เข้าเยี่ยมคารวะและแสดงความขอบคุณต่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบกที่บ้านพักสวนพุดตาน

หลังการเยี่ยมขอบคุณ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กลุ่มนายทหารหนุ่มมอบหมาย พ.ท.สุรพล ชินะจิตร อดีตผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ ผู้นำกำลังเข้ายึดหอประชุมกองทัพบกเมื่อเช้า 1 เมษายน พ.ศ.2524 ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวที่บ้านสวนพุดตาน โดยกล่าวสั้นๆ ว่า

“เมื่อกลุ่มนายทหารหนุ่มได้รับความเมตตาจากผู้บังคับบัญชาชั้นสูงให้พวกเรามีโอกาสกลับเข้ารับราชการใหม่แล้ว พวกเราทุกคนจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการตามที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ของกองทัพและประเทศชาติ นับแต่วันนี้ถือว่ากลุ่มนายทหารหนุ่มได้สลายตัวไปโดยปริยายจากวันนี้เป็นต้นไป ผมจึงขอความร่วมมือห้ามนำชื่อกลุ่มนายทหารหนุ่ม หรือ Young Turk ไปกล่าวอ้างหรือดำเนินกิจกรรมใดๆ ทางการเมืองอีก”

และต่อมาใน วันอังคาร 9 กันยายน พ.ศ.2529 เวลา 15.00 น. พ.ท.สุรพล ชินะจิตร ก็เป็นผู้ประสานงานนำคณะนายทหารหนุ่มเข้าคารวะและขอบคุณ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่หอประชุมกองทัพบก ซึ่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เดินทักทายถามทุกข์สุขผู้เข้าขอบคุณเป็นรายบุคคลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

หลังเข้าพบแล้ว พ.ท.สุรพล ชินะจิตร ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของกลุ่มให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอีกครั้ง มีสาระสำคัญคือ

1. เมื่อคณะนายทหารหนุ่มมีโอกาสกลับเข้ารับราชการใหม่แน่นอนแล้ว ขั้นตอนต่อไป ทางกองทัพบกจะเป็นผู้พิจารณาหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมบรรจุทุกคนเข้ารับราชการ โดยมีหลักเกณฑ์โดยรวมว่าจะบรรจุทุกคนเข้ารับราชการตั้งต้นในยศเดิม อัตราเงินเดือนเดิม ก่อนถูกปลดจากราชการ

2. เมื่อกลับเข้ารับราชการใหม่แล้ว กลุ่มจะยุติบทบาททางการเมืองทุกประการ และถือว่าได้สลายกลุ่มนายทหารหนุ่ม หรือ Young Turk แล้ว

 

รับราชการในตำแหน่งใหม่

วันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2529 กองทัพบกได้ออกคำสั่งให้นายทหารรับราชการดังต่อไปนี้

1. พ.อ.ประเจียด ปานจินดา เป็นอาจารย์วิชาทหาร วิทยาลัยการทัพบก

2. พ.อ.พิรัช สวามิวัสดุ์ เป็นอาจารย์วิชาทหาร วิทยาลัยการทัพบก

3. พ.อ.ถนัด พากปฏิพัธ เป็นอาจารย์วิชาทหาร วิทยาลัยการทัพบก

4. พ.อ.สมพงศ์ วิเศษสังข์ เป็นประจำศูนย์การทหารม้า

5. พ.อ. ม.ร.ว.อดุลเดช จักรพันธุ์ เป็นฝ่ายเสนาธิการ ประจำสถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง

6. พ.ท.รณชัย ศรีสุวรนันทน์ เป็นประจำสถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง

7. พ.ต.สัญชัย บุญฑริกสวัสดิ์ เป็นอาจารย์ยุทธวิธี โรงเรียนเสนาธิการทหารบก

8. พ.ท.สุรพล ชินะจิตร เป็นนายทหารวิจัยและพัฒนาการรบ สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง

9. พ.อ.สมบัติ รอดโพธิ์ทอง เป็นประจำสถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง

10. พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เป็นฝ่ายเสนาธิการประจำกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน

11. พ.อ.นานศักดิ์ ข่มไพรี เป็นฝ่ายเสนาธิการประจำกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน

12. พ.อ.แสงศักดิ์ มังคละศิริ เป็นประจำกองส่งกำลังบำรุง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน

13. พ.อ.ปราบ โชติกะเสถียร เป็นประจำฝ่ายกิจการพลเรือน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก

14. พ.อ.วีระยุทธ อินวะษา เป็นประจำกรมการรักษาดินแดน

15. พ.ท.บุญยัง บูชา เป็นประจำศูนย์การทหารราบ

16. พ.อ.บวร งามเกษม เป็นประจำศูนย์การทหารปืนใหญ่

17. พ.ท.สุทิน เชียงทอง เป็นประจำศูนย์การทหารปืนใหญ่

18. พ.ท.ประเสริฐ กาสุวรรณ เป็นประจำศูนย์การทหารปืนใหญ่

19. พ.ท.ประภาส พูนขำ เป็นประจำกรมยุทธการทหารบก

20. พ.ท.ไพฑูรย์ นาครัตน์ เป็นประจำกรมยุทธการทหารบก

21. พ.ท.องอาจ ชัมพูนทะ เป็นประจำกรมส่งกำลังบำรุงทหารบก

22. พ.ต.สุรฤทธิ์ จันทราทิพย์ เป็นประจำกองบัญชาการทหารบก

23. พ.อ.ทวีวรรณ นิยมเสน เป็นประจำกรมสวัสดิการทหารบก

24. พ.อ.ประสิทธิ์ โยธีพิทักษ์ เป็นประจำวิทยาลัยการทัพบก

25. พ.ท.วรเชต วัชรบุญโชติ เป็นประจำสำนักงานผู้บังคับบัญชา

26. พ.อ.ชูพงศ์ มัทวพันธ์ เป็นประจำศูนย์การทหารม้า

ทั้งนี้ มีผู้ไม่ประสงค์ขอกลับเข้ารับราชการรวม 5 นาย ได้แก่ พ.อ. ประจักษ์ สว่างจิตร พ.อ.มนูญ รูปขจร พ.อ.ปราบ โชติกเสถียร พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และ พ.ท.วินัย สมพงษ์

วันที่ 27 ตุลาคม 2529 ผู้กลับเข้ารับราชการใหม่ทั้งหมดเดินทางไปรายงานตัวที่สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง

อนึ่ง สำหรับ พ.อ.มนูญ รูปขจร ซึ่งก่อกบฏอีกเมื่อ 9 กันยายน พ.ศ.2528 จึงถูกถอดยศและปลดจากราชการอีกครั้ง แต่ได้รับการนิรโทษกรรมและกลับเข้ารับราชการเมื่อ พ.ศ.2531 ในสมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี

 

อาทิตย์-ชวลิต
กับการกลับเข้ารับราชการคณะทหารหนุ่ม

สองขุนพลเคียงกาย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ หนึ่งคือ พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก หนึ่งคือ พล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ ทั้งสองแตกต่างกันทั้ง “วิธีคิด” และ “วิธีการ” นับตั้งแต่การปราบจนกระทั่งการกลับเข้ารับราชการของคณะทหารหนุ่ม

พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก เหล่าทหารราบ มีลักษณะ “รุกรบ” และ “ดุดัน” ตามคุณลักษณะของผู้บัญชาการหน่วยรบ

“หลังจากนั้นผมก็เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านรับสั่งว่าให้พยายามใช้ความละมุนละม่อมรอมชอมให้มาก ให้หลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อ ผมรับใส่เกล้าใส่กระหม่อม แต่ในใจผมคิดว่า ถึงคราวเสียก็ต้องเสีย”

เป็นคำบอกเล่าของ พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก ขณะปฏิบัติหน้าที่ผู้บัญชาการกองบัญชาการร่วมรักษาความสงบ โปรดสังเกต “แต่ในใจผมคิดว่า ถึงคราวเสียก็ต้องเสีย”

พล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ เหล่าทหารสื่อสาร ผู้เติบโตมาในอาชีพนายทหารเสนาธิการ จึงสุขุม นุ่มลึก และเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ที่สะท้อนผ่านแผนการใช้กำลังต่อฝ่ายปฏิวัติ คือ

“ทีนี้ตอนเช้าเราก็นัดกันว่า เมื่อสว่างจะเริ่มเคลื่อนที่เข้าหา แผนที่เราวางไว้นั้นเปิดด้านตะวันตกไว้หมด ด้วยเหตุผลประการเดียวเท่านั้นเอง คือต้องการให้เขาหนี ไม่ต้องการให้รบกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมไม่มีการยิงกัน พอเราเข้ามาก็เป็นไปตามอย่างที่พี่จิ๋วว่า ค่อยๆ หลบกันไปเพราะไม่มีการจนตรอกนี่ เขารู้ว่ามีทางไป”

ภาพเปรียบเทียบของสองขุนพลจะเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งในการกลับเข้ารับราชการของคณะทหารหนุ่ม

แม้จะได้รับนิรโทษกรรมจากพระราชกำหนดที่ออกโดยรัฐบาลที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผู้ก่อการคนสำคัญของคณะทหารหนุ่มก็ถูกถอดยศ ไม่มีเบี้ยหวัดบำนาญ จึงเหลือความหวังเดียวในชีวิตว่าจะได้กลับเข้ารับราชการเพื่อปากท้องของตนและครอบครัว ขณะที่ พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก ทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกที่ทรงอำนาจอย่างสมบูรณ์ต่อการกลับเข้ารับราชการ

บันทึกการดิ้นรนต่อสู้ชีวิตของ พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นอกจากสะท้อนความทุกข์ยากในการเอาชีวิตตนและครอบครัวให้รอดแล้วยังเป็นหลักฐานสำคัญว่า ตราบใดที่ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ยังมีอำนาจในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ตราบนั้นคณะทหารหนุ่มก็อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับเข้ารับราชการ จนกระทั่ง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก คณะทหารหนุ่มจึงได้กลับเข้ารับราชการ

บาดแผลแห่งความแตกแยกที่ปิดสนิทครั้งนี้จึงนับเป็นฝีมือของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โดยแท้ นี่คือความแตกต่างระหว่างสองขุนพล

ปฏิเสธไม่ได้ว่า บาดแผลลึก 1-3 เมษายน พ.ศ.2524 ได้รับการสมานอย่างสมบูรณ์เบ็ดเสร็จโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก

จากนั้น นายทหารหนุ่มที่กลับเข้ารับราชการต่างตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ หลายท่านประสบความสำเร็จได้รับพระราชทานยศพลเอกก่อนเกษียณอายุราชการ

คณะทหารหนุ่มสลายตัวและยุติบทบาททางการเมืองลงอย่างสิ้นเชิง เก็บงำความทรงจำทั้งที่งดงามและเจ็บปวดไว้มิดชิดให้ตายไปกับตัว แต่ไม่อาจห้ามมิให้มีตำนานที่ผู้คนจะเล่าขานบอกต่อกันไปโดยไม่รู้จบ

พ.ท.รณชัย ศรีสุวรนันท์ บันทึกบทปิดท้ายใน “พ.อ.มนูญ รูปขจร บนเส้นทางปฏิวัติ” ว่า

“ดาวสุกใสดวงหนึ่งหล่นวูบตกหายไปจากขอบฟ้าด้านตะวันตก ทอแสงให้เห็นแวบหนึ่งก่อนจะลับหาย มันส่องประกายอย่างแจ่มใสเป็นทางยาวครั้งสุดท้ายเหมือนบอกลา ก่อนจะหายวับไปในความมืดมิดของราตรีนั้น”

ทว่า แม้ทหารหนุ่มจะยุติบทบาทลงอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังคงมีปริศนาสำคัญที่ยังค้างคามาจนบัดนี้ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ในค่ำวันที่ 31 มีนาคม ที่แม้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จะกล่าวปฏิเสธไม่ยอมรับเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติแล้วขอให้นำกำลังกลับที่ตั้ง แต่การปฏิวัติกลับเดินหน้า

เรียบเรียงเรื่องราวอย่างพินิจพิเคราะห์ พอจะเห็นคำตอบ…