เจาะกลยุทธ์ ‘บิ๊กอ๊อบ-เศรษฐา’ สร้างเครือข่ายทหาร ผุดมินิ วปอ. Young Leader ติวเข้ม ‘อุ๊งอิ๊ง’ ปรับจูนทัศนคติ พร้อมนั่งนายกฯ

แม้กระแสข่าวที่เกิดขึ้น หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) หรือที่เรียกว่า มินิ วปอ. นั้น เปิดรุ่นแรกเพื่อ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลูกสาวอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่จ่อคิวเป็นนายกฯ คนที่ 31 ก็ตาม แต่ทว่า มีกลยุทธ์ทางทหารซ่อนอยู่

ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่ว่า ทางกองทัพเปิดหลักสูตรนี้รุ่นแรก เพื่อเตรียมความพร้อมในด้านคอนเน็กชั่น เพราะจะมีคนรุ่นใหม่ในแวดวงข้าราชการและเอกชน ภาคธุรกิจ ภาคการเมือง มาเรียนด้วย และเตรียมติวความรู้ด้านความมั่นคง การทหาร ความมั่นคงในการเมือง การทหาร ระหว่างประเทศ ในภูมิภาค และในโลก ให้กับ น.ส.แพทองธาร เพื่อที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

แต่กลยุทธ์นี้มีที่มาที่ไป เพราะ วปอ.บอ.นี้ ไม่ใช่เพิ่งคิดขึ้นมาเพื่อ น.ส.แพทองธาร แต่เป็นหลักสูตรที่ทางวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (สปท.) กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) คิดมาหลายปีแล้ว ในชื่อ หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่ (วปอ.บม.)

ตั้งแต่ยุคที่บิ๊กตี๋ พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เป็น ผบ.ทหารสูงสุด ในปี 2558 แต่มีปัญหาติดขัดในเรื่องระเบียบข้อกฎหมายของสภา วปอ. และเกิดกระแสต่อต้านภายใน เพราะในเวลานั้น ตั้งเกณฑ์รับคนจบปริญญาตรี อายุ 25 ปีขึ้นไป และมีชื่อลูกหลานบิ๊กๆ จะมาเรียน

หลักสูตรนี้พับไปหลายปี จนบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ข้ามจาก ทบ. มาเป็น เสธ.ทหาร และขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุด 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563-2566 ทาง วปอ.ได้พยายามรื้อฟื้นหลักสูตรนี้ขึ้นมา เพราะเห็นว่ากองทัพควรสร้างมวลชนในระดับคนรุ่นใหม่

เพื่อดึงคนรุ่นใหม่มาอยู่ในเครือข่ายมวลชนกองทัพ หลังจากที่เกิดพรรคอนาคตใหม่ จนมาสู่พรรคก้าวไกล

หลักสูตร วปอ.ใหญ่ ที่มีมา 66 รุ่นแล้วนั้น ล้วนเป็นหลักสูตรสำหรับข้าราชการระดับสูง ทหาร ตำรวจ ระดับนายพล ผบ.หน่วย และภาคเอกชน คนที่ประสบความสำเร็จในองค์กรตนเองในระดับหนึ่งแล้ว อายุ 50-55 ปี เมื่อขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ไม่กี่ปีก็เกษียณราชการไป แต่กองทัพต้องการเครือข่ายมวลชน คนอายุน้อยลงกว่านั้น เพื่อที่จะเป็นเครือข่ายที่ร่วมมือกันไปอีกนาน

แต่ วปอ.บม.นี้ ก็มาติดขัด เนื่องจากตามระเบียบจะต้องเข้าที่ประชุมสภา วปอ. ที่มี รมว.กลาโหม เป็นประธาน และต้องนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพราะมีเรื่องของงบประมาณของหลักสูตรด้วย เช่นเดียวกับหลักสูตร วปอ.

จนที่สุด มาถึงยุคของบิ๊กอ๊อบ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี เป็น ผบ.ทหารสูงสุด ซึ่งเป็นนายทหารยุคใหม่ และให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ โดยมอบหมายให้บิ๊กต๋อง พล.อ.อ.ภูมิใจ เลขสุนทรากร ผบ.สปท. เพื่อนร่วมรุ่น ตท.24 เป็นแม่งานตั้งแต่แรกที่มารับตำแหน่ง 2566 หลักสูตรนี้จึงสำเร็จ

โดยใช้วิธีการให้ สปท. เป็นเจ้าของหลักสูตร วปอ.บอ.นี้ ไม่ใช่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) จึงไม่ต้องผ่านสภา วปอ. หรือเข้า ครม. โดยใช้งบประมาณของ สปท.เอง

โดยเปลี่ยนจาก วปอ.บม. มาใช้ชื่อหลักสูตร วปอ.บอ.

พล.อ.ทรงวิทย์ ได้รายงานและขออนุมัติจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีแล้ว ท่ามกลางเสียงวิจารณ์อีกว่า หลักสูตรนี้ต้องการให้ น.ส.แพทองธารมาเรียน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต หรือไม่

แต่มีรายงานว่า พล.อ.ทรงวิทย์ ได้หารือกับนายเศรษฐา เรื่องการปรับปรุงหลักสูตร วปอ.ใหญ่ หลังจากที่นายเศรษฐาเคยติงในการปิดหลักสูตร วปอ.65 เมื่อกันยายน 2566 แรกๆ ที่มาเป็นนายกฯ ว่า เป็นหลักสูตรของอภิสิทธิ์ชน คน 1% ของประเทศ ที่หวังสร้างคอนเน็กชั่น เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

โดย พล.อ.ทรงวิทย์ ได้สั่งปรับภาพลักษณ์ของ วปอ.ใหม่ โดยให้นโยบาย ให้ วปอ.ที่แม้ไม่อาจลบภาพคอนเน็กชั่นได้ แต่ให้ใช้คอนเน็กชั่นนั้นเพื่อสร้างประโยชน์ให้ประชาชน

ส่งผลให้เกิดกฎ “The Ten” ของนักศึกษา วปอ. เริ่มใน วปอ.66 นี้เป็นรุ่นแรก ที่นักศึกษา วปอ. ที่แบ่งเป็น 10 กลุ่ม มีชื่อเรียกเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ จะต้องทำกิจกรรมเพื่อสังคม ในทุกพื้นที่ที่ วปอ.เดินทางไป เพื่อชุมชน ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการมอบเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลในพื้นที่

ทำให้นายเศรษฐาพอใจมากขึ้น

มีรายงานว่า พล.อ.ทรงวิทย์ได้หารือการเปิดหลักสูตร วปอ.บอ. กับนายกฯ แล้ว เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2566 และรายงานนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม และประธานสภา วปอ. แล้ว ต่างก็เห็นด้วย

โดยที่ พล.อ.ทรงวิทย์ ต้องการสร้าง Young Leader ในหลายวงการ ตามแนวคิด InterAgency ในรูปแบบของ Comprehensive Security เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความมั่นคงทุกมิติและสามารถนำไปใช้งานได้

หลักสูตร วปอ.บอ. นี้จึงไม่ใช่เพิ่งคิดขึ้นมา คิดมาหลายปี แต่มาสำเร็จในยุคนี้ โดยเริ่มตั้งแต่สิงหาคม-กันยายน 2566 หลังจากที่มีคำสั่งให้ พล.อ.ทรงวิทย์ เป็น ผบ.ทหารสูงสุด และ พล.อ.อ.ภูมิใจ เป็น ผบ.สปท. จึงไม่ใช่หลักสูตรที่เปิดมาเพื่อ น.ส.แพทองธาร ตั้งแต่ต้น

แต่เป็นจังหวะพอดีที่ พล.อ.ทรงวิทย์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด ที่ให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ ในหลายเจเนอเรชั่น และมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับนายเศรษฐา และได้รับความไว้วางใจจนกลายเป็น ผบ.เหล่าทัพ ที่นายเศรษฐาพูดคุยบ่อยที่สุด และให้สัมภาษณ์ออกสื่อ ชื่อ พล.อ.ทรงวิทย์ บ่อยที่สุด

โดยที่นายเศรษฐาเองเมื่อพูดถึงผู้บริหารในอนาคต จึงนึกถึง น.ส.แพทองธาร จนเป็นที่มาของการชักชวนให้มาสมัครเรียนหลักสูตร วปอ.บอ.นี้ โดยให้ชวนเพื่อนมาสมัครเรียนด้วยก็ได้

โดยจะเห็นได้ว่า น.ส.แพทองธาร ยื่นใบสมัครออนไลน์ ในช่วงไม่กี่วันก่อนจะหมดเขต 15 ธันวาคม 2566

เมื่อมีข่าวออกไปว่า น.ส.แพทองธาร สมัครเรียนรุ่นนี้ และมีผู้สนใจอยากเรียนจำนวนมาก โดยในเวลานั้นมีผู้สมัครกว่า 300 คนแล้ว ทาง สปท.จึงขยายเวลารับสมัคร เป็น 31 ธันวาคม 2566 ที่ยอดผู้สมัครมากถึงกว่า 600 คน ที่จะต้องมาคัดเลือกให้เหลือ 150 คนเท่านั้น

ด้วยจำนวนผู้สมัครมาก และเพิ่งปิดรับสมัคร จึงทำให้การสัมภาษณ์ต้องเลื่อนจาก 8-15 มกราคม 2567 เป็น 15 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2567 ใช้เวลา 1 เดือนเต็มในการสอบสัมภาษณ์ เพื่อดูทัศนคติ และจะเปิดเรียนปลายมีนาคม 2567 โดยใช้เวลาเรียน 6 เดือน สัปดาห์ละ 2 วัน วันจันทร์และวันศุกร์ เวลา 08.30-16.00 น. ไม่นับช่วงของการเดินทางดูงาน

หลักสูตรนี้จะไปศึกษาสภาวะแวดล้อมตามประเด็นปัญหาความมั่นคงร่วมสมัยทั้งภายในและต่างประเทศ เช่นเดียวกับ วปอ.ด้วย และก่อนจบหลักสูตรจะต้องทำโปรเจ็กต์ด้านความมั่นคงเสนอด้วย

โดยหลักสูตรนี้เรียนฟรีเฉพาะข้าราชการ ที่คิดเป็นสัดส่วน 70% และภาคเอกชน 30% ที่ต้องจ่ายเงินเรียนเอง คนละ 1.3 แสนบาท โดย น.ส.แพทองธาร ก็ต้องจ่ายเงินมาเรียนด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้พบว่า นอกจาก น.ส.แพทองธาร ที่สมัครมาเรียนแล้ว ยังมีคนในภาคการเมืองสมัครมาเกือบ 30 คน และมีทั้ง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคก้าวไกล

โดยมีรายงานว่า นายรังสิมันต์ โรม ก็อยากที่จะเรียน แต่อายุไม่ถึง 35 ปี ตามเกณฑ์อายุ 35-42 ปี ก็อาจจะรอรุ่นต่อไปในอนาคต

หากมองในเชิงกลยุทธ์ทางทหารแล้ว การใช้การศึกษาอบรม เป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างเครือข่ายมวลชนของกองทัพ ที่ถือว่าหลักสูตร วปอ. ประสบความสำเร็จที่สุดในการสร้างเครือข่าย ผู้ที่เข้าใจกองทัพ ความมั่นคง จากการมาสัมผัสทหาร ในการเรียน การศึกษาดูงาน ที่ถือว่าเป็นการแทรกซึมทางความคิดอย่างแนบเนียน โดยใช้สถานภาพของการเป็นข้าราชการฝ่ายทหาร ที่ในสังคมไทยเป็นสังคมทหารใหญ่ เพราะมีการรัฐประหารบ่อย และทหารบกคุมอำนาจมาตลอด จึงต้องรู้จักมีคอนเน็กชั่นกับบิ๊กทหารไว้ จึงทำให้ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ จึงอยากเข้ามาเรียน แม้จะต้องเสียเงินค่าหลักสูตรเป็นแสนก็ตาม

ขณะที่ฝ่ายทหาร ตำรวจ ข้าราชการ ก็ต้องการคอนเน็กชั่นกับภาคเอกชน ที่มีทุนในการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ หลักสูตร วปอ. จึงเป็นการต่อท่อคอนเน็กชั่น ระหว่างอำนาจ เกียรติยศ และกลุ่มทุน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นายเศรษฐา ติงหลักสูตร วปอ. จนต้องมีการปรับภาพลักษณ์ใหม่

แม้ว่าในปัจจุบัน สถานภาพของทหารอาจจะลดพลังอำนาจแฝงทางการเมืองลง แต่สังคมไทยก็ยังให้ความสำคัญ เคารพยำเกรงทหาร ตำรวจ ข้าราชการ หลักสูตร วปอ. จึงยังเป็นที่นิยมหมายปองทั้ง 2 ฝ่าย

เพราะหลักสูตรการอบรมต่างๆ ที่เป็นที่นิยม ในลักษณะคล้ายๆ กัน ก็เปิดขึ้นในหลายสถาบัน ทั้งของสถาบันพระปกเกล้าฯ ที่มีหลายหลักสูตร หรือหลักสูตรวิทยาลัยตลาดทุน หรือของแวดวงตุลาการ กระทรวงยุติธรรม แต่ทว่า วปอ. เป็นที่จับตามองที่สุด และได้ผลในการสร้างเครือข่ายมวลชนมาแล้ว 66 รุ่น และเกิดเครือข่าย “เดอะเท็น” ที่กลุ่มชื่อเดียวกัน จะรวมกลุ่มกับกลุ่มของรุ่นพี่ กลายเป็นเครือข่ายใหญ่

โดยอาจกล่าวได้ว่า คนที่มาเรียน วปอ. หรือจบ วปอ. ส่วนใหญ่มักเป็นแนวคิดสายอนุรักษนิยม และอนุรักษนิยมใหม่ ตามแนวทางที่กองทัพต้องการ เพราะความมั่นคงของกองทัพ จะหมายรวมถึงความมั่นคงของ 3 สถาบันหลักของชาติด้วย

ยิ่งในยุคที่กองทัพ ฝ่ายความมั่นคง เสมือนต้องทำสงครามแย่งชิงมวลชน กับฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย หรือหัวก้าวหน้า

กองทัพจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ และเปลี่ยนมือ จากที่เคยเป็นหน้าที่ของ กอ.รมน. เช่น การสร้างไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.) ที่เป็นวิธีที่ไม่แนบเนียน

 

จึงไม่แปลกที่หลักสูตร วปอ.บอ.โดย สปท. บก.ทัพไทย ในยุคของ พล.อ.ทรงวิทย์ จะเล็งเป้าไปที่คนรุ่นใหม่ ในระดับอายุ 35-42 ปี และรวมถึงบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ ยูทูบเบอร์ คนมีชื่อเสียง ดารา นักแสดง ที่สามารถมาเรียนหลักสูตรนี้ได้ด้วย ที่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

เพราะบรรดาอินฟลูฯ เหล่านี้ มียอดผู้ติดตามสูงอยู่แล้ว ก็จะมาเป็นแนวร่วมของกองทัพในโซเชียลมีเดีย ในยามที่ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายอนุรักษนิยม ต้องพยายามชิงมวลชนคนหลายรุ่น ในการทำศึกโซเชียล ที่พรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคก้าวไกล ทำมานาน และทำสำเร็จจนชนะเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และส่งผลให้พลังสีส้มเพิ่มมากขึ้น แบบที่ฝ่ายความมั่นคงอยู่นิ่งไม่ได้อีกแล้ว แม้จะเริ่มช้ากว่า แต่ก็ต้องทำ

แต่กลยุทธ์ที่เหนือกว่านั้นคือ การที่ได้ น.ส.แพทองธาร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต มาเรียนในหลักสูตร วปอ.บอ.นี้ เพราะหากกว่าจะเรียน วปอ.ได้ ต้องรออายุ 50 ปี จะไม่ทันการของฝ่ายทหาร

ในมุมหนึ่ง เป็นที่รู้กันดีว่า น.ส.แพทองธาร อาจไม่ค่อยชอบทหาร เพราะทั้งนายทักษิณ อดีตนายกฯ ผู้บิดา ก็ถูกรัฐประหารในปี 2549 และต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เป็นคุณอา ก็ถูกรัฐประหารในปี 2557 จนทำให้ทั้งคู่ต้องลี้ภัยอยู่ต่างประเทศยาวนาน 17 ปี และ 10 ปี

เพราะตอนจัดตั้งรัฐบาล ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ก็ตั้งเงื่อนไขต้องไม่มีลุง 3 ป. ใน ครม. แม้จำเป็นต้องมีพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรัฐบาลด้วย ตามเงื่อนไขผสมข้ามขั้ว

ดังนั้น การที่ น.ส.แพทองธาร มาเรียนหลักสูตร วปอ.บอ.นี้ ก็จะเป็นโอกาสที่ทำให้ได้สัมผัสกับทหารทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น และอาจารย์ที่สอน รวมถึงต้องไปดูงาน ศึกษางานในหน่วยทหารต่างๆ ทั่วประเทศ ก็จะเป็นโอกาสที่ทำให้ น.ส.แพทองธารได้รู้จักและเข้าใจทหารมากขึ้น

 

ฝ่าย น.ส.แพทองธารเองก็คงรู้สถานการณ์ในอนาคตอันใกล้ดีว่าผลของซูเปอร์บิ๊กดีล ระหว่างพรรคเพื่อไทย ที่มีอดีตนายกฯ ทักษิณ ผู้เป็นพ่อ เป็นแมน บีฮายด์ เดอะซีน กับขั้วอนุรักษนิยม ทำให้จะต้องร่วมกับกองทัพฝ่ายทหาร และขั้วอนุรักษนิยมในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อีกทั้งตัว น.ส.แพทองธารเองก็ต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคต ที่จะต้องอาศัยกองทัพและฝ่ายทหารในการประคับประคอง เพราะกลไกบ้านเมืองส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในมือของขั้วอนุรักษนิยม เพราะหากไม่เอาทหารเป็นพวก หรือใช้การต่อสู้แบบเดิมของอดีตนายกฯ ทักษิณ ก็จะถูกรัฐประหารเรื่อยไป เช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งติดกัน

ในขณะเดียวกันการมาเรียนหลักสูตรนี้จะทำให้ น.ส.แพทองธาร มีความรู้ด้านการทหารและความมั่นคงในทุกมิติ รวมไปถึงเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากขึ้น ที่จะเป็นการเสริมความรู้ให้กับว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 31

จนเป็นที่พูดกันทีเล่นทีจริงในกองทัพว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร อาจจะควบ รมว.กลาโหมหญิง เป็นคนที่ 2 ต่อจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เป็นได้

ดังนั้น หลักสูตรนี้จึงไม่ใช่แค่ฝ่าย น.ส.แพทองธาร จะเป็นฝ่ายได้แต่ฝ่ายเดียว แต่กองทัพก็ได้ประโยชน์เต็มๆ ในการดึงคนในภาคการเมืองมาเข้าใจมิติความมั่นคง โดยเฉพาะเป็นว่าที่นายกฯ และเป็นกล่องดวงใจของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่จะมารับไม้ต่อ เป็นแม่ทัพฝ่ายอนุรักษนิยมใหม่ ที่จะเป็นโค้ชให้ลูกสาว ในการสู้กับพรรคการเมืองหัวก้าวหน้า และพวกมีแนวคิดปฏิรูปสถาบัน โดยมีกองทัพเป็นฐานอำนาจ ประคองกันไป

ภายใต้ดีล ไม่ล้ำเส้นกองทัพ ไม่ล้างบาง 3 ป. นั่นเอง