ไม่มีทางสร้างรัฐบาลที่ดี จากวิถีเข้าสู่อำนาจที่ผิด | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ปี 2566 คือปีแห่งความผันผวนที่อำนาจรัฐซึ่งควรมาจากประชาชนอย่างโปร่งใสถูกแทนที่ด้วย “ดีลลับ” และการตระบัดสัตย์หลอกประชาชน

ถึงแม้วิธีได้อำนาจรัฐแบบเข้าประตูหลัง (Backdoor Deal) จะบรรลุผลในการสกัดไม่ให้เกิดรัฐบาลที่ประชาชนต้องการ

ผลที่ได้กลับเป็นฝันร้ายของทุกคนที่ไม่ได้กำหนดดีล

โพลทุกสำนักช่วงปลายปีพบว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” คือนายกฯ ในดวงใจอันดับ 1 และเลือกตั้งรอบหน้าคนส่วนใหญ่จะเลือกก้าวไกลเป็นรัฐบาล

ที่น่าตกใจกว่าคือคะแนนนิยมของคุณพิธามากจนคุณเศรษฐา ทวีสิน, คุณแพทองธาร ชินวัตร และคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รวมกันยังแพ้

เช่นเดียวกับคะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลที่นำโด่งทุกพรรคหลายเท่าตัว

ภายใต้ความไม่ยอมรับรัฐบาลที่แสดงออกจากผลการเลือกตั้งปี 2566 และผลโพลที่คงเส้นคงวาจนพิธาซึ่งถูกกลั่นแกล้งไม่ให้ทำหน้าที่ ส.ส.และก้าวไกลที่เป็นฝ่ายค้านมีคะแนนนิยมกว่ารัฐบาล การเมืองไทยในปี 2567 จะเป็นการเมืองแห่งความอึดอัดระหว่างรัฐบาลกับประชาชนที่อาจไม่มีใครมีความสุขได้เต็มที่เลย

สำหรับคุณเศรษฐาและพรรคเพื่อไทยซึ่งหวังว่าเมื่อได้อำนาจรัฐแล้วจะได้คะแนนนิยม

ความจริงคือวิธีเข้าสู่อำนาจรัฐทำให้ความนิยมต่อรัฐบาลไม่เคยกระเตื้องขึ้นสำหรับประชาชนที่หวังว่าเลือกตั้งจะทำให้ได้รัฐบาลของประชาชน

วิธีเข้าสู่อำนาจรัฐแบบนี้ทำให้ได้แค่รัฐบาลของเจ้าของดีลซึ่งใหญ่กว่าประชาชน

 

รอยต่อจากปีเก่าสู่ปีใหม่คือช่วงเวลาที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นจุดตั้งต้นของชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม

คติที่เชื่อว่าอนาคตอยู่ข้างหน้าครอบงำสังคมไทยเหมือนกับครอบงำสังคมสมัยใหม่อื่นๆ ซึ่งเวลาคือเส้นตรงที่เดินไปข้างหน้า เข็มนาฬิกาที่เคลื่อนจากเที่ยงคืนปีเก่าสู่วินาทีแรกของปีใหม่จึงเป็นหลักไมล์ของการเริ่มต้นที่ดี

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มนุษย์แต่ละคนจะผ่านปีใหม่โดยทำทุกอย่างที่ตั้งเป้าหมายได้จริงๆ

และเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีกสำหรับสังคมที่จะเดินหน้าสู่จุดหมายที่หวังไว้ขณะแสงสว่างของดอกไม้ไฟเจิดจ้าในเวลาที่ฟ้ามืดแทบที่สุด เวลาของสังคมจึงแยกขาดจากความก้าวหน้าของสังคมจนอาจมีหรือไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย

ถ้าประเทศไทยช่วงต้นปี 2566 คือประเทศที่คนรอเลือกตั้งเพราะเชื่อว่าการเลือกตั้งจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง

ประเทศไทยช่วงปลายปี 2566 คือประเทศที่คนพบความจริงว่าการเลือกตั้งเปลี่ยนประเทศน้อยมาก เพราะรัฐบาลเป็นรัฐบาลเดิมที่เปลี่ยนแค่มีพรรคเพื่อไทยแกนนำแทนกลุ่มนายพล 3 ป.เท่านั้นเอง

เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปีที่เคยคึกคักจากความเชื่อว่าเวลามาพร้อมกับความก้าวหน้าของสังคม ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ปี 2567 ที่ยังมองไม่เห็นความก้าวหน้าที่จะเกิดขึ้นมากนัก

ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าในแง่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ, การกระจายรายได้ หรือการพัฒนาสู่ประชาธิปไตยในสังคม

 

นักเศรษฐศาสตร์และสถาบันการเงินจำนวนมากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะฟื้นตัวอย่างจำกัดราวๆ 3.1-3.4% แต่ด้วยเหตุที่ภาคส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าที่เคยเป็นในปี 2565 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจึงมีโอกาสจะล่าช้าและไม่ทั่วถึง (Slow and Uneven) ตลอดเวลา

กองเชียร์รัฐบาลยุคคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา และคุณเศรษฐามักอ้างว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดีเหมือนเศรษฐกิจประเทศอื่นที่ไม่โต

แต่ข้อเท็จจริงที่ยืนยันว่าคำพูดนี้โกหกคือเศรษฐกิจไทยยุคคุณเศรษฐาโตต่ำกว่าเพื่อนบ้าน เพราะ IMF คาดว่า GDP ในปี 2567 ของกลุ่มประเทศอาเซียน-5 อยู่ที่ 4.5% มากกว่าไทย 1%

ด้วยพื้นฐานที่เศรษฐกิจไทยโตกระจุกแต่ไม่เคยกระจาย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในเวลาที่เศรษฐกิจโตจึงทำได้อย่างมากก็แค่ให้คนจนได้ส่วนแบ่งเหมือน “เศษเนื้อข้างเขียง” ซึ่งไม่มากพอจะเลื่อนชนชั้นเป็นคนชั้นกลางหรือคนรวย อย่างมากก็แค่เปลี่ยนจากชาวนาเป็นกรรมกรหรือแรงงานภาคบริการในเขตเมือง

ยิ่งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวต่ำ ส่วนแบ่งที่จะให้คนจนก็จะยิ่งถูกกดให้มีสัดส่วนลดลงไปกว่าเดิม คนจนที่จนอยู่แล้วจึงยิ่งยอมสยบต่อความยากจนขั้นอาจคิดแค่ปี 2567 มีงานทำก็ดีแล้ว โดยไม่คิดเรื่องการเพิ่มเงินเดือน, ค่าแรง, โบนัส หรือค่าตอบแทนการทำงานรูปแบบอื่นๆ อีกเลย

 

เมื่อคำนึงถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ไม่มีวี่แววว่าจะลดลง ส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจที่ถูกกดให้ต่ำลงจะยิ่งทำให้คนจนยากจนลงถึงขั้นมีการใช้จ่ายที่ลดน้อยลงไปด้วย การฟื้นตัวที่จำกัดจึงทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างไม่ทั่วถึง

จนปีใหม่เป็นปีแห่งความทุกข์จนไม่มีทางเป็นปีแห่งความหวังของประชาชนได้เลย

ยิ่งเมื่อรัฐบาลตัดสินใจขึ้นค่าแรงแค่ 2-16 บาทจนค่าแรงขั้นต่ำไม่ถึง 400 บาทตามที่หาเสียงกับประชาชน ลูกจ้างที่ได้ค่าจ้างขั้นต่ำก็จะเข้าสู่ปีใหม่โดยมีเงินในกระเป๋าเพิ่มเพียงแค่วันละ 2 บาท หรือเดือนละ 60 บาทเท่านั้น ส่วนลูกจ้างที่ค่าแรงมากกว่าอัตราขั้นต่ำก็จะได้เงินเดือนขึ้นในสัดส่วนที่ต่ำตามไปด้วยโดยปริยาย

คุณเศรษฐาอ้างว่าคณะกรรมการค่าจ้างจะประชุมในเดือนมกราคมเพื่อปรับค่าจ้างอีกที

แต่นักเศรษฐศาสตร์และทุกคนที่ตามเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำรู้ว่าข้ออ้างนี้ไม่จริง เพราะคณะกรรมการค่าจ้างประชุมแทบทุกเดือน แต่การประชุมไม่จำเป็นต้องนำไปสู่การขึ้นค่าจ้าง และไม่มีใครเพิ่มค่าจ้างให้ใครหลังจากเพิ่งเพิ่มไป 1 เดือน

คุณเศรษฐาและรัฐมนตรีแรงงานปลอบใจคนงานหลังเบี้ยวค่าแรง 400 บาทว่าต่อไปนี้จะปรับค่าแรง 2 ครั้งต่อปี แต่รัฐบาลในอดีตทำแบบนี้มาก่อนแล้วจนคำพูดรัฐบาลนี้ในเรื่องนี้เป็นแค่เทคนิคหาเสียงอีกแบบ

ไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่เดือนมีนาคมจะมีการขึ้นค่าแรงอีกรอบซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย

 

พรรคเพื่อไทยทั้งพรรครู้ดีว่าการตระบัดสัตย์ตั้งรัฐบาลข้ามขั้วทำให้พรรคสูญเสียคะแนนนิยม และรัฐมนตรีหลายคนก็บอกว่ายุทธศาสตร์ของพรรคคือทำเรื่องเศรษฐกิจให้สำเร็จเพื่อกอบกู้คะแนนนิยมให้กระเตื้องขึ้น

แต่สถานการณ์บริหารประเทศแบบนี้ทำให้ไม่มีวี่แววว่ารัฐบาลจะทำตามแผนนี้ได้เลย

ไม้เด็ดของเพื่อไทยยุคนี้คือการแจกเงินคนละ 10,000 ซึ่งจบด้วยการกู้เงิน 5 แสนล้านทั้งที่ไม่เคยบอกประชาชน แต่กว่าที่การแจกเงินจะเกิดขึ้นจริงๆ คือเดือนพฤษภาคม เศรษฐกิจปีหน้าช่วงครึ่งปีแรกจึงไม่มีอะไรกระตุ้นเลยในเวลาที่การขึ้นค่าแรงแค่ 2 บาททำให้กำลังซื้อของคนส่วนใหญ่หายวับไปทันที

อันตรายที่รัฐบาลไม่รู้คือการไม่ทำตามนโยบายทำให้ประชาชนไม่เชื่อถือคำพูดรัฐบาล

คะแนนนิยมที่คุณเศรษฐาและเพื่อไทยแพ้คุณพิธาและก้าวไกลคืออาการความไม่เชื่อถือรัฐบาลที่ลามไม่หยุด

และบทเรียนจากรัฐบาลประยุทธ์คือปัญหานี้ทำให้ประชาชนวิจารณ์รัฐบาลทุกเรื่องจนรัฐบาลเสียผู้สนับสนุนลงทุกวัน

 

ทางออกที่ง่ายที่สุดของรัฐบาลคือการฟื้นฟูความน่าเชื่อถือทางการเมืองเรื่องประชาธิปไตย และวิธีฟื้นฟูที่ง่ายที่สุดคือการแสดงจุดยืนจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้ชัดเจนที่สุด แต่มติรัฐบาลเรื่องการทำประชามติที่ไม่แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับด้วยคำถามพ่วงเรื่องห้ามแตะหมวด 1 และ 2 ก็ปิดฉากเรื่องนี้ลงทันที

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ทำให้อนาคตประเทศในปี 2567 เดินหน้าสู่ความมืดมน แต่เป็นความมืดมนเฉพาะในมุมของความไม่มั่นคงของผู้มีอำนาจรัฐซึ่งเข้าสู่อำนาจโดยวิถีทางที่ผิดจนไม่สามารถหาทางออกได้ ขณะที่ความมืดมนแบบนี้คือความสว่างไสวสู่ประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนจริงๆ

สำหรับบทเรียนที่ผู้มีอำนาจควรได้ในปี 2567 คือการเข้าสู่อำนาจด้วยวิถีทางที่ไม่ผิดไม่มีทางทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกได้

และการเดินหน้าสู่เส้นทางที่ผิดมีแต่จะทำให้อำนาจรัฐจมปลักในวิถีทางที่ผิดอย่างไม่มีทางกอบกู้ได้เลย