จรัญ พงษ์จีน : การกรุยทางแบบนักการเมืองของ “ประยุทธ์”

จรัญ พงษ์จีน

หากติดตามบทบาทของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ “คสช.”-นายกรัฐมนตรี ในระยะเดือนสองเดือนนี้ เปลี่ยนอิริยาบถใหม่ หันมา “ทำเนียน” กับคนการเมืองได้ “เวิร์ก” มากๆ เลย

ก่อนหน้านี้ก็หนหนึ่งแล้ว เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน “บิ๊กตู่” นำคณะไปจี๋จ๋า หวานเจี๊ยบ คอเลสเตอรอลเกือบจะรับประทาน กับแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา อันประกอบด้วย “ท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา” ลูกเลิฟ “คุณบรรหาร ศิลปอาชา” ผู้ล่วงลับ

ตามด้วย “ประภัตร โพธสุธน, กรวีร์-ภราดร ปริศนานันทกุล, ณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ”-เสมอกัน ในของจังหวัด

ไม่ได้จ๊าบสนั่นเพียงอย่างเดียว ยังโปรยยาหอม ทอดไมตรีตีแคนนอน ถึงนักการเมือง ผ่านทาง “เสี่ยประภัตร-ลูกท็อป”

“ผมฝากกับพี่ประภัตร ฝากกับท็อป ผมขอฝากความหวังไว้กับนักการเมืองทุกคน เราจะไม่ขัดแย้งกันอีก เราต้องเดินหน้าให้ได้ อยากให้พี่ประภัตรนึกถึงคนจังหวัดอื่นด้วย เมื่อได้เป็นรัฐบาลคราวหน้า”

มาดและลีลา สิ่งที่เปลี่ยนไป แม้จะแค่ความรู้สึกที่ดีขึ้นต่อคนการเมือง ไม่ได้รังเกียจเดียดฉัน ดุจกิ้งกือ ไส้เดือน เหมือนตอนยึดอำนาจใหม่ๆ ถือว่าเป็น “มิติที่ดี” พอที่จะถอดเสื้อคุยพูดจาภาษาดอกไม้กันได้มากขึ้น

นำสิ่งที่เห็นตรงกัน-ความแตกต่าง มาเป็นปัจจัยจูนโมเมนตัมเพื่อแสวงหา กำหนดกติการ่วมกันได้ในอนาคต

และชัดเจนมากขึ้น เมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” นำคณะรัฐมนตรีชุดใหญ่ไปประชุมนอกสถานที่ ตีกรรเชียงผ่านทางจังหวัดพิษณุโลก และไปสิ้นสุดที่จุดหมายปลายทาง จังหวัดสุโขทัย

ที่นี่เอง “หอประชุมอาคารอนุสรณ์ลายสือไท” ต.เมืองเก่า “บิ๊กตู่” ได้พบปะพูดคุยกับนักการเมือง ผู้นำท้องถิ่น จำนวน 50 คน ปิดห้องคุยกันแบบ “ลับเฉพาะ” ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวไปเป็น “ก้างขวางคอ”

เข้าถ้ำเสือ ต้องเจอจ่าฝูง สุโขทัย จะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง

หุ้นจะขึ้น ดัชนีจะเด้ง ควรต้องมีที่มา อันว่า “สมศักดิ์ เทพสุทิน” กาลครั้งหนึ่งช่วงเป็นผึ้งแตกรังออกมาจากพรรคไทยรักไทย หลัง “บิ๊กบัง” ปฏิวัติยึดอำนาจเมื่อปี 2549 ได้ออกมาก่อตั้งพรรค “มัชฌิมา”

คอการเมืองทราบกันดีว่า “มัชฌิมา” ตั้งขึ้นมาสนับสนุนคนชื่อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ซึ่งมีความผูกพันกันเมื่อครั้งทำงานร่วมกันในรัฐบาล “ทักษิณ” ฝ่ายหนึ่งคือ “ส.สมคิด” เป็นรองนายกฯ กำกับดูแล “ส.สมศักดิ์” ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ

ดวงสมพงศ์ จึงเกิดความใกล้ชิดกันอย่างล้นเหลือ แต่ไปไม่ถึงฝั่ง มีเหตุขัดข้องทางเทคนิค “สมศักดิ์” และลูกข่ายซึ่งมีอยู่ 10 กว่าที่นั่ง ช่วยกันประคับประคอง “มัชฌิมา” มาแบบขัดไม่ได้ และไม่มีอะไรให้เป็นจุดคาดหวัง

แต่แล้ว โลกมันกลม “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” โชคชะตาพาฝันช่วงเวลาทองคำย้อนกลับมาอีกวาระ “บิ๊กตู่” ดึงให้มาร่วมวงไพบูลย์ เป็นรองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจแทน “ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล”

ช่วงรัฐบาล “ตู่ 4” ดูยังป้อแป้ เพราะไปเหยียบตาปลากับ “เพื่อนแท้” ของทั่นผู้นำ คิดว่าน่าจะไปได้ไม่กี่น้ำ

แต่สุดท้าย “พล.อ.ประยุทธ์” ปรับ ครม. งวดล่าสุด กลับมอบหมายงานให้ “รองสมคิด” กำกับดูแลกระทรวงเศรษฐกิจแบบครบวงจร จำนวน 8 กระทรวงใหญ่

 

ทุกสรรพสิ่งไม่มีอะไรเที่ยง “บิ๊กตู่” ซอฟต์ๆ ชิล ชิล ลง บังเอิญพอดีเด๊ะกับขั้นตอนการยกร่างรัฐธรรมนูญ “กฎหมายลูก” งวดเข้ามา ใกล้จะแล้วเสร็จในไม่กี่วันข้างหน้า ทุกฝ่ายมั่นใจว่า น่าจะลงอวยตามโรดแม็ปที่ประกาศไว้ คือปลายปี 2561 “ทหาร” จะคายอำนาจ คืนประชาธิปไตยทางตรงให้กับประชาชนพลเมือง ซึ่งนั่นก็คือ จะมี “ศึกเลือกตั้งใหญ่”

เป็น “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ซึ่งประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่เสียเลยทีเดียว

“ท.ทหาร” ยังคงอยู่ในศูนย์อำนาจภายใต้ร่มเงาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยมี “พรรค ส.ว.” 250 ที่นั่ง เป็นฐานกำลังใหญ่ให้

แถมยังถูก “แย่งซีน” ว่าด้วยกฎ ข้อบังคับ “ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

ที่กำหนดให้ที่มาของ “ส.ส.บัญชีรายชื่อ” ตามมาตรา 91 ที่กำหนดว่า “ถ้าพรรคใดมี ส.ส.เขตเท่ากับหรือมากกว่าจำนวน ส.ส. ของพรรคที่พึงมี พรรคนั้นจะไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ”

เป็นการตอกตะปูปิดฝาโลง “พรรคใหญ่” ไม่ให้ผุดให้เกิด

“พรรคเพื่อไทย” ไม่มีอะไรหวือหวา น่าตื่นเต้น เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่า เป็นคู่ปฏิปักษ์ รัฐธรรมนูญเขียนขึ้นมาเพื่อสกัดตัวเองโดยเฉพาะ

แต่ที่อกตรมระทมใจมากกว่าใครเขาเพื่อน คงเป็น “ประชาธิปัตย์” สหายร่วมรบ ถูกตัดญาติขาดมิตร ทั้งในทาง “ทฤษฎี” และ “ปฏิบัติ”

เสียรังวัดฟรีๆ ละงวดนี้ ไม่ได้ “กล่อง” และ “พวงมาลัย”

กุศลผลบุญทั้งหลายไปตกอยู่กับ “พรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก”

หวยมีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะไปออกที่ “พรรคใหม่”

ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว พลันที่ “คสช.” ของ “บิ๊กตู่” ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ปรับปรุงแก้ไขบทเฉพาะกาลของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 กำหนดให้ “พรรคเก่า” ต้องปรับปรุงสมาชิก เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน

หากพรรคใดปรับสมาชิกพรรคไม่ทันตามกรอบเวลา ให้ถือว่า “สมาชิกคนนั้นสิ้นสุดการเป็นสมาชิกของพรรค”

“ประชาธิปัตย์” ซึ่งตามบัญชีรายชื่อ มีสมาชิกพรรคมากที่สุดกว่า 2 ล้านคน

เจอกับวิบากกรรมหนักที่สุด ได้รับผลสะเทือนค่อนข้างสูง ถูกต้อนเข้าที่คับขันมากสุด

เริ่มจะ “ตาสว่าง” เลยดาหน้าออกมาดับเครื่องชน “คสช.” หนักกว่าใครเขาเพื่อน