การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ฉันอยากจะคิดถึงที่นี่

[นักเขียนหรือกวีต้องไม่คุย

แต่เหล่านี้คือข้อเท็จจริงและความรู้สึกจริงใจที่ควรบันทึกไว้ให้ผู้ที่อ่าน ราช รังรอง ได้รู้ไว้

ความจริงจะต้องถูกใส่หลุมลึกแล้วกระทุ้งดินอัดลงไปให้ตายหรือ

ขอบกรุง จะเป็นบทกวีหรือไม่เป็น ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้า

หน้าที่ของข้าพเจ้าก็คือการเขียนหนังสือที่ไม่เดินตามรอยเท้าคนอื่น และไม่เก็บเงินหมื่นเงินแสนตามรอยเท้าคนอื่น

ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นนักเขียนแล้ว ก็ขอให้ข้าพเจ้าอหังการในข้อเขียนของตัวเองเถิด

กวีแบบเจ้าฟ้ากุ้ง สุนทรภู่ ชิต บุรทัต นั้นมีกันมากมาย เพียงอ่านบทกวีของท่านกวีเหล่านี้ไม่กี่หนก็เขียนตามแบบได้

แต่กวีแบบ ราช รังรอง นั้นก็คือรอยเท้าของ ราช รังรอง

ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว และไม่มีใครมาก่อนเลย

16 กรกฎาคม 2514]

 

ฉันเพ่งจ้องตัวหนังสือเหล่านั้นอย่างตะลึงพรึงเพริด ไม่เคยได้อ่านอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย

โอ นี่มันเป็นหนังสือแบบไหนกัน ฉันพลิกเปิดไปได้หลายหน้าแล้ว ยังไม่เห็นจะมีบทกวีสักบท ดูเหมือนจะมีแต่ข้อความเรียงยาวเป็นหน้าๆ

ทว่า เมื่อพลิกกลับไปกลับมา ก็ตัดสินใจอ่านในหน้าแรกๆ ดูอีกครั้ง

และก็พบข้อความที่ทำให้สุดแสนประหลาดใจ

มันคืออะไรกัน บทกวีแบบไหนกันหรือ เจ้าของผลงานเขียนเล่มนี้จึงเรียกมันว่า กวีแบบ ราช รังรอง

[เธอมองเห็นริบบิ้นสีทองอันเลื่อมลายของผีเสื้อปีกเหลืองที่ปลิวไหวออกมาจากราวป่านั้นหรือไม่**1

ชั่วครู่หนึ่งมันก็กลายเป็นเสมือนร่างแหมหึมาที่ครอบคลุมลงไปบนสีสันอันแพรวพรายของหุบเขานั้น

แสงแดดอร่ามค่อยๆ เคลื่อนตัวตามลงไปเหมือนกับการคืบคลานของตัวด้วง

และเปิดเปลือกตาที่ปิดสนิทของป่าทั้งป่าออกด้วยนิ้วมือไหม

เธอมองเห็นเปลวควันสีดำของค้างคาวแม่ไก่ที่พวยพุ่งออกมาจากซอกผาสูงนั้นหรือไม่

ชั่วครู่หนึ่งมันก็กลับกลายเป็นเสมือนผืนผ้าแพรใหญ่ที่วางทาบลงไปบนความเหนื่อยอ่อนของป่านั้น

แสงแดดอร่ามค่อยๆ หดตัวขึ้นไปเหมือนกับการคืบคลานของตัวด้วง

และปิดเปลือกตาที่เปิดกว้างของป่าทั้งป่าลงด้วยนิ้วมือมนต์]

 

“เป็นยังไงบ้าง อ่านสนุกไหม”

ชายเจ้าของร้านเงยหน้าส่งยิ้มให้ฉัน เบื้องหน้ามีกระดาษขาวอยู่สองสามแผ่น และดินสอปลายแหลมหลายเล่ม

ฉันพยักหน้า

“ชอบไหมล่ะ อ่านถึงไหนแล้ว”

“เกือบจบเล่ม” ฉันตอบ

“ชอบบทไหนบ้าง”

ฉันได้แต่มองหน้าเจ้าของร้านนิ่งๆ อยากจะจดจำไว้ว่า เขาคือผู้ที่พาฉันไปในโลกอีกแห่งหนึ่ง

“ชอบเกือบทั้งหมด”

“นั่นละ บทกวี” ชายผมถักเปียพูด “ถึงไม่มีทำนองสักท่อนเดียวก็เถอะ”

ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเข้าใจอะไรมากมาย แต่ก็ให้รู้สึกวูบไหวจนอธิบายไม่ได้

…ไม่ใช่ไม่มีทำนอง ฉันได้ยินจังหวะเหล่านั้นที่กึกก้องอยู่ในโสตประสาท ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ

[เธอมองเห็นกงล้ออันหมุนติ้วภายใต้พลังแห่งรังสีของดวงอาทิตย์ยามทิวาวานนั้นหรือไม่

มันพามวลชีวิตห้อตะบึงไปประหนึ่งพายุและบดทับวิญญาณที่ล้าหลังไปอย่างปราศจากความปรานี

มันหมุน…และหมุน…หมุน…อยู่เช่นนั้นชั่วนาตาปี

ใครหนอที่จะหยุดยั้งการหมุนของมันลงเสียได้

เธอมองเห็นท้องธารอันสงบนิ่งภายใต้มนต์ขลังแห่งรังสีของดวงอาทิตย์ยามรัตติกาลนั้นหรือไม่

มันกล่อมวิญญาณที่เมื่อยล้า และดวงใจที่ร่ำไห้ด้วยกังวานเสียงอันหวานสะคราญและจับใจ

มันกล่อม…และกล่อม…กล่อม…อยู่เช่นนั้นชั่วนาตาปี

ใครหนอที่จะยืดเยื้อเวลาอันสงบนิ่งของมันออกเสียได้]

“มันเพราะมากๆ เลย”

ฉันพูดออกไป แล้วน้ำตาก็เอ่อออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“แต่เราคงไม่ได้อ่านอีกแล้วละ”

“อ้าว ทำไม?” ชายถักเปียไหวตัว

“…เราต้องไปแล้วละ”

 

มีแสงวูบวับหนึ่งในดวงตาของชายร่างสูงโปร่งบาง หรือมันอาจเป็นแสงแดดที่ทอละอองเข้ามาทางช่องหน้าต่าง และไล่ไล้ไปบนพวกสันหนังสือเหล่านั้น

ฉันยังไม่ได้ถอดเฝือกออกจากข้อแขนเลย แต่ตอนนี้ แม่ที่เคยอยู่ไกลก็กลับใกล้เข้ามาจนยากจะปฏิเสธการมีอยู่ได้

“แม่มึงขาหัก” พี่โฟกระแทกเสียงใส่หูไว้ “อีพ่อเขียนจดหมายก้อมฝากมากับรถแดง ถ้ามึงจะไม่ไป แม่มึงตายส่องหน้ากู…จะเหิดให้”

น้ำตาฉันยังร่วงลงมาอีก ตอนที่มีวงแขนเข้ามาพาดไหล่

ชั่วขณะ นึกไปถึงเมื่อครั้ง…เคยอยู่ในอ้อมกอดลุงฌอ

 

[ในความตื่นและความหลับอันแตกต่างกันประหนึ่งมลทินของพื้นพิภพและความบริสุทธิ์ของฟากฟ้านั้นเธอปรารถนาสิ่งใด

กงล้ออันหมุนติ้ว หรือว่า ท้องธารอันสงบนิ่ง

แต่ทว่า เธอจะปรารถนาสิ่งใดก็ตาม เธอก็ไม่สามารถจะหลีกพ้นไปเสียจากสิ่งหนึ่งได้

ความปรารถนานั้นเป็นแต่เพียงความฝันและทำให้เธออยู่ในความหลับใหลประหนึ่งขุนเขา

และถูกกงล้อแห่งทิวาวารบดขยี้ลงไปอย่างยับเยิน]

“ยังไงฉันก็ต้องไป”

ไหล่ของฉันคงจะสั่น เพราะมันเกินจะกลั้นเอาไว้ได้

ยื่นหนังสือสองเล่มออกไป

“ฉันเอามาคืนคุณก่อน”

บัดนี้ แม้จะรู้ว่าไม่มีสักใบแดงอย่างคาดหวัง แต่ก็ไม่นึกเสียดาย มีสิ่งที่ทำให้ฉันเสียใจกว่านั้น

มันเหมือน…เหมือนฉันเพิ่งรู้ว่า ถ้อยภาษาแบบไหนที่จะทำให้ฉันโลดลิ่วลอยตามเข้าไป และในใจกลางนั้น ฉันยังแลเห็นความหวัง

แต่ถึงตอนนี้ ฉันจะมีอะไรให้หวัง

[ออกมาเถิด! วิญญาณที่หลีกหนีเข้าไปซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของดวงดาวยามรัตติกาล

ความทะเยอทะยานที่จะสงบนิ่งและหลับสนิทอยู่ชั่วนิรันดร์นั้นเป็นแต่เพียงภาพมายา

กงล้ออันโหดเหี้ยมนั้นย่อมหมุนไปถึงทุกที่ และไม่เคยปรานีต่อความหลับ

ตราบเท่าที่แสงอันแรงร้อนของดวงอาทิตย์ยังสาดส่อง และบังคับให้โลกหมุนไปตามวงจรของจักรวาล]

 

มือขาวดึงรับหนังสือไปจากมือฉันอย่างนุ่มนวล แล้วพูดขึ้นมาว่า

“ผมจะพาคุณไปข้างบนนะ”

ฉันไม่ได้พยักหน้า แต่ว่าก็โอนอ่อนตามแรงดึงนั้น

ช่วยพาฉันไปสักทีก็ดีเหมือนกัน ก่อนที่ฉันจะต้องจากไป…ไปไกลจากที่ที่ ฉันกำลังจะมีความสุข

[ความหลับนั้นคืออาหารอันเอมโอชของความตื่น

ความสงบนั้นคือเหยื่ออันไร้เขี้ยวเล็บของความทะยานอยาก

ดุจฝูงโคที่รอคอยการพิฆาตอยู่ในคอก

และสุกรที่หลงยินดีต่อความสมบูรณ์ภายในเล้า

จงยื่นความหลับและความสงบให้แต่เพียงแก่มวลดาราเท่านั้นเถิด

และจงตื่นขึ้นเมื่อเสียงสนั่นของกงล้ออันหมุนติ้วเริ่มขึ้นอย่างกัมปนาท

เวลาแห่งการยืนหยัดที่จะมีลมหายใจอยู่อย่างเสรีได้มาถึงแล้ว

ตื่นเถิด, ขุนเขาที่หลับใหล, ตื่นเถิด]

 

เท้าของฉันเหยียบลงบนไม้กระดานแผ่นหนา มันทั้งเย็นยะเยือกและร้อนอ้าวในคราวเดียวกัน เพียงแต่หนังสือเล่มนั้นยังติดมือของเขาขึ้นมาด้วย

นายจ้างของฉัน ผู้ชายที่สอนให้ฉันรู้จักความแปลกใหม่ในบทกวี จรดจมูกเข้าที่ซอกคอของฉัน

“ผมเขียนบทกวีไว้ให้คุณเหมือนกันนะ เพิ่งจบเมื่อตะกี้พอดี”

ฉันปราศจากความคิดใดๆ ในหัว ไร้ความกลัว ไร้ความหวัง

[จงยื่นความหลับและความสงบให้แต่เพียงแก่มวลดาราเท่านั้นเถิด

และจงตื่นขึ้นเมื่อเสียงสนั่นของกงล้ออันหมุนติ้วเริ่มขึ้นอย่างกัมปนาท

เวลาแห่งการยืนหยัดที่จะมีลมหายใจอยู่อย่างเสรีได้มาถึงแล้ว…]

“ฉันอยากจะคิดถึงที่นี่ ถ้าจะไม่ได้กลับมาอีก”

ฉันขยับปากปล่อยถ้อยคำไป