คณะทหารหนุ่ม (68) | ในนาทีใกล้จะเกิดการนองเลือด สัญญาณเปลี่ยนไป

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี เล่าถึงวินาทีแห่งความเป็นความตายหลังเพื่อนรัก พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ถูกจับต่อไปว่า

“ผมไปกับคนขับและก็เพื่อนผมอีกคนหนึ่งคือ พ.อ.นิยม รัตนสูตร บุกเข้าไปที่ดอนเมือง ผมมีเพียงปืน 11 ม.ม. 1 กระบอก ระเบิด 2 ลูก อาร์ก้า 1 กระบอก เดินเข้าไป สห.ก็เข้าล้อมผมทันทีพร้อมกับบอกให้ผมปลดอาวุธ แต่ผมไม่ยอม ผมบอกว่าคนอย่างผมไม่ยอมให้ใครมาปลดอาวุธ

ผมจึงแจ้งความประสงค์ว่า ผมต้องการมาพบ พล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ (สมัยนั้น) เพราะช่วงเช้าผมประสานกับท่านอยู่ หลังจากปล่อยท่านตอนท่านโดนจับที่รังสิต ก็คิดว่าไม่มีอะไร ต่างคนก็ต่างถอน ในขณะที่ล้อมผมอยู่ ผมก็บอกว่ายิงเลยถ้าอยากยิง แต่จะให้ผมวางอาวุธ ผมไม่ยอมวางเด็ดขาด พอดีเพื่อนผม น.อ.ไพบูลย์ ธารีเกษ มาเห็นเหตุการณ์ เขาก็ห้ามไม่ให้ยุ่งกับพวกผม ทหารพวกนั้นก็แยกออกไป

ผมก็เข้าไปใน บก.ปราบกบฏ ในขณะที่ผมเดินเข้าไปภายใน บก.ปราบกบฏ ขณะที่ทุกคนนั่งคุยกันอยู่เป็นจำนวนมาก พอทุกคนเห็นผมเดินเข้าไปเขาหนีกันหมดเลย เหลือเพียงสองคนที่อยู่ประจันหน้ากับผม คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ (ตอนนั้นท่านเป็น พ.อ.มงคล)

พี่จิ๋วก็ถามผมว่า มาทำไม ผมก็บอกว่า ‘ไหนตกลงกันไว้ว่าจะไม่มีอะไร ทำไมจะเอาเพื่อนผม 2 คนคือ พ.อ.ประจักษ์ และ พ.อ.สาครไป Drop ทิ้ง’

พี่จิ๋วก็บอกว่า ‘เอ๋…ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่อง’ ผมก็รีบบอกว่า ‘นี่เขากำลังจะขึ้นเฮลิคอปเตอร์อยู่เดี๋ยวนี้’

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็สั่งให้ พล.อ.มงคล หาอาหารมาให้ผมกินและท่านก็หายไปประมาณ 20 นาที

ผมยังจำได้ ท่านนำข้าวราดแกงเทโพและโอเลี้ยงมาวางไว้ต่อหน้าผม ผมก็กินเฉพาะโอเลี้ยง หลังจาก 20 นาทีผ่านไป พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ท่านก็กลับมาพร้อมกับบอกว่า ไม่มีอะไรแล้วทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว

ผมก็ถามท่านว่า แล้วท่านจะจับผมหรือเปล่า ท่านก็ตอบว่าไม่จับ ผมก็บอกว่าถ้าไม่จับ ผมจะไปล่ะ

จากนั้นผมก็กลับออกมาพร้อมกับไปเอากองกำลังของผมถอนออกมากลับไปที่อรัญประเทศ พอมาถึงอรัญประเทศ ผมเรียกประชุมทั้งหมด ตั้งแต่รองผู้การ ผู้พัน จนถึงผู้กองร้อย พร้อมกับชี้แจงว่า

งานนี้ผมรับผิดชอบเพียงคนเดียว ถ้าเขามาสอบสวน ก็ให้บอกว่า ผมเป็นคนสั่ง”

 

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี กล่าวอีกครั้งกรณีจับ พล.ต.อาทิตย์ กำลังเอก และ พ.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ที่รังสิตในเช้าวันที่ 3 เมษายน ซึ่งยังคงไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันเหตุการณ์สำคัญนี้แต่อย่างใด

พล.อ.อภิชัย อรุณประภา กล่าวถึงเหตุการณ์เดียวกันนี้ว่า

“วางแผนกับนายที่ดอนเมือง เอากำลังกระจายไปคุมตามจุดต่างๆ ทำจนกระทั่งสถานการณ์คลี่คลายไปมาก สักพักก็ได้รับการติดต่อจาก พ.ท.ณรงค์เดช นันทโพธิเดช ว่าจะเอาตัว พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร พ.อ.พิรัช สวามิวัสดุ์ มาให้ บิ๊กจิ๋วก็ตอบตกลงให้เอามาที่ดอนเมืองก่อน ณรงค์เดชก็มา แต่เขาไม่ยอม จะเอาตัวพี่จักษ์ พี่หมึกขึ้นเครื่องซี-130 ไปโคราช

นายจิ๋วก็ค่อยๆ โอบกันไป พี่หมึกไม่ได้แต่งชุดพรางนะ แต่งชุดเขียวธรรมดา โดดเตะตูดพี่เลย ไอ้เหี้…เสธ.อ่อง เล่าจบก็หัวเราะกันครืน”

คำบอกเล่าของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และ พล.อ.อภิชัย อรุณประภา แตกต่างกันเฉพาะตัวนายทหารฝ่ายก่อการที่ถูกจับ ระหว่าง พ.อ.สาคร กิจวิริยะ กับ พ.อ.พิรัช สวามิวัสดุ์ แต่ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร นั้นตรงกัน

เป็นอีกบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจยิ่ง กับชะตากรรมของ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ในเช้าวันที่ 3 เมษายน 2524

 

สถานการณ์คลี่คลาย

เช้า 3 เมษายน พ.ศ.2524 ประชาชนทั้งประเทศโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครต่างไม่อาจคาดเดาได้ว่าสถานการณ์จะลงเอยอย่างไร แต่ต่างกังวลว่าความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดกำลังจะเกิดขึ้น “วิเทศกรณีย์-สมบูรณ์ คนฉลาด” บันทึกไว้ใน “สองนายพลเป็นนายกฯ” ดังนี้

“นับตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สถาปนาจัดตั้งกองอำนวยการร่วมรักษาความสงบแห่งชาติขึ้นแล้วได้มีการตอบโต้กันอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าถ้อยคำอันแข็งกร้าวของคณะปฏิวัติรู้สึกว่าชักจะอ่อนลงไม่กร้าวแกร่งแข็งกระด้างเหมือนตอนที่ยึดอำนาจได้ใหม่ๆ

เป็นที่เข้าใจว่าสงครามนองเลือดคงจะสามารถหาทางหลีกเลี่ยงได้โดยการเจรจาด้วยสันติวิธี เพราะคณะปฏิวัติทั้งที่ได้ประกาศและให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เป็นไปในทำนองว่าจะไม่มีเหตุการณ์นองเลือดเหมือนเหตุการณ์เมื่อครั้ง พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ ทำการปฏิวัติเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2520

เป็นการแสดงให้เห็นว่าฝ่ายปฏิวัติกำลังปราชัยสงครามทางจิตวิทยาเช่นเดียวกับกบฏ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ นั่นเอง”

 

“อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการทหารขึ้น ทั้งได้ส่งจารกรรมเข้ามาสังเกตการณ์จุดที่ตั้งทหารต่างๆ ของฝ่ายปฏิวัติและสังเกตการเคลื่อนไหวของประชาชนว่าจะมีความรู้สึกในการปฏิวัติครั้งนี้อย่างไร

พร้อมกันนั้นกองกำลังทหารเสือราชินีก็เคลื่อนย้ายกำลังมาจากชลบุรีเข้ามาทางถนนเพชรบุรีตัดใหม่และได้ยึดพื้นที่เหล่านี้ไว้เพื่อเตรียมถล่มทลายแนวต้านทานของคณะปฏิวัติต่อไปเมื่อได้รับคำสั่ง

ทหารเหล่านี้เป็นทหารจาก ร. 21 พัน 4 อันเป็นกองพันทหารเสือค่ายนวมินทราชินี ได้เข้ามาวางกำลังตั้งมั่นอยู่ที่สี่แยกมักกะสันในลักษณะกำลังปิดล้อม สำหรับกำลังมากับรถสายพานลำเลียง 9 คัน มีปืนกลขนาด 90 คาลิเบอร์ตั้งจังก้าอยู่ข้างหน้า และในรถยีเอ็มซีอีก 5 คัน กับมีกำลังในรถยีเอ็มซีอีก 5 คัน

ในช่วงนี้ วิทยุฝ่าย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แพร่ข่าวออกมาว่า พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา ได้ขึ้นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์มุ่งตรงไปทางใต้”

 

“ทางด้านฝั่งธนบุรีนั้นปรากฏว่าทหารเรือส่วนหนึ่งตั้งรังปืนกลหน้าทางเข้าสถานีตํารวจบุปผาราม และกำลังอีกเป็นจำนวนมากตั้งสกัดอยู่ที่โพธิ์สามต้นเป็นระยะๆ ไปถึงท่าพรานนก

ระหว่างที่กำลังทหารฝ่าย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้ายึดพื้นที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ นั้น สถานีวิทยุกองบัญชาการคณะปฏิวัติได้ออกประกาศว่า

‘ท่านพี่น้องประชาชนทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ขณะนี้ทางกองบัญชาการคณะปฏิวัติได้ทำการสั่งเคลื่อนย้ายรถถังเพื่อเข้าประจำที่ตั้ง ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกตกใจ เป็นการเคลื่อนย้ายตามแผนของกองบัญชาการคณะปฏิวัติเท่านั้น

พี่น้องประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ที่บินอยู่ขณะนี้เป็นเครื่องบินของกองบัญชาการคณะปฏิวัติเพื่อบินตรวจการณ์ดูแลความสงบเรียบร้อยในกรุงเทพมหานคร จึงเรียนมายังประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด และโปรดอย่าตื่นตระหนกตกใจ เพราะว่าเป็นการเคลื่อนย้ายตามแผนของกองบัญชาการคณะปฏิวัติ’

หลังจากที่คณะปฏิวัติได้ออกแถลงการณ์ฉบับนี้แล้วปรากฏว่ามีรถถัง 5-6 คันวิ่งมาจากทางบางซื่อเสียงดังสนั่นหวั่นไหว และมีประชาชนมายืนดูอยู่ 2 ข้างถนนเต็มไปหมด แต่ตามร้านขายอาหารหรือขายของทั่วๆ ไปพากันปิดร้าน เพราะเข้าใจไปว่านาทีแห่งการนองเลือดได้คืบใกล้เข้ามาแล้ว

ได้ทราบว่ารถถังเหล่านี้ได้วิ่งไปยังสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรุงเทพมหานคร เพื่อป้องกันส่วนหนึ่งของทหารเรือที่เตรียมการจะบุกเข้ามา”

 

“แล้วต่อมาเมื่อเวลา 06.30 น. อันเป็นเวลาที่คณะปฏิวัติจะใกล้อวสาน ก็ปรากฏว่าได้มีคำแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติออกมาอีกฉบับหนึ่ง ในคำแถลงนั้นมีใจความสำคัญว่า ได้ขอร้องวิงวอนให้ทหารตามจุดต่างๆ ได้พยายามอดกลั้นการยั่วยุต่างๆ และว่า อย่าใจร้อนวู่วามเพื่อเห็นแก่ประชาชนชาวไทยทุกคน จงอย่าได้ใช้อาวุธก่อนที่จะได้รับคำสั่ง

ต่อมาเวลาประมาณ 08.00 น. วิทยุของคณะปฏิวัติแพร่ข่าวมาว่า ขณะนี้คณะปฏิวัติได้รับข่าวสารเป็นที่แน่ชัดดังนี้

1. กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ จากจังหวัดชลบุรี ได้เคลื่อนย้ายกำลังมาอยู่ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี กระทรวงการต่างประเทศ และที่ถนนราชวิถี เพื่อเป็นการยั่วยุคณะปฏิวัติ

2. เมื่อเวลา 06.30 น. มีกำลังเข้ามาอยู่ที่ดอนเมืองและมีรถจำนวน 28 คันเพื่อการบรรทุก

3. เมื่อเวลา 07.00 น. มีการลาดตระเวนที่ตั้งต่างๆ ของคณะปฏิวัติ

คณะปฏิวัติจะพยายามอดกลั้นจนถึงที่สุดตามที่ได้ยืนยันกับพี่น้องชาวไทยไว้แล้ว”

 

“ในท่ามกลางของภาวะวิกฤตที่อาจจะกลายเป็นสมรภูมินองเลือดเกิดขึ้นนั้น มีประชาชนกลุ่มหนึ่งประมาณ 300 คนถือพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถือธงชาติและมีป้ายโฆษณาหลายอันเป็นไปในทำนองว่าขอให้มีการเจรจากันด้วยสันติวิธี อย่ารบราฆ่าฟันกันเองเลย ได้เดินผ่านหน้ากรมประชาสัมพันธ์ ไปทางนางเลิ้งแล้วเลี้ยวไปทางทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีรถถัง 2-3 คันจอดอยู่ แล้วเดินไปยังหอประชุมกองทัพบก

ในนาทีอันใกล้จะเกิดการนองเลือดเข้ามาทุกทีนี้ เวลานี้กองทัพของฝ่ายคณะปฏิวัติและฝ่าย พล.อ.เปรม กำลังเผชิญหน้ากันอยู่อย่างน่าวิตก เพราะในบริเวณสี่แยกถนนศรีอยุธยา ฝ่ายกองกำลังร่วมรักษาความสงบแห่งชาติได้มาวางกำลังไว้ตั้งแต่เวลา 03.00 น. พร้อมกับขุดสนามเพลาะตลอดแนวตั้งแต่ตึกทำพาสปอร์ตของกระทรวงการต่างประเทศเรื่อยมาจนถึงข้างในด้านหน้าของโรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งทหารเหล่านี้มาจากค่ายนวมินทราชินีได้นำเอาปืนใหญ่จำนวน 3 กระบอกตั้งอยู่หน้าโรงพยาบาลสงฆ์ และมีปืน ปรส.ตั้งอยู่ตรงกลางสี่แยกหันหน้าไปทางสนามม้าอีก 1 กระบอกแล้ว

จากนั้นได้มีรถถังจำนวน 2 คันของคณะปฏิวัติเคลื่อนมาถึงก็มิได้ตั้งกำลังบนถนนเดียวกัน แต่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม ต่างก็อยู่ในลักษณะพร้อมจะเผชิญหน้ากันเมื่อได้รับคำสั่ง

อย่างไรก็ตาม ทีท่าของคณะปฏิวัติดูจะอ่อนข้อลงและวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยที่ได้เคยแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวนั้นก็เงียบหายไป มีการเปิดเพลงแทน อันเป็นสัญลักษณ์แสดงให้เห็นว่า คณะปฏิวัติกำลังจะเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เช่นเดียวกับการปฏิวัติ 26 มีนาคม 2520″