เผยแพร่ |
---|
ปรากฎการณ์ แป้ง นาโหนด ได้ทะยานไปสู่สถานการณ์ที่ยากแก่การกำกับและควบคุมมากยิ่งขึ้น
เหมือนปรากฎการณ์ของ ทิม พิธา ในทางการเมือง
ก่อให้เกิด”แฟนคลับ”แปลกขึ้นมาในโลกเสมือนโดยอัตโนมัติ ไม่เพียงแต่ออกมาเป็นการแหลงใต้ หากแม้กระทั่งเสียงใสๆหวานๆจากคนภาคอื่นก็กึกก้อง
ยิ่งกว่านั้น ก็เริ่มปรากฏเป็นเสียงเพลงที่แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อ แป้ง นาโหนด
หากมองจากด้านของ”ตำรวจ”ย่อมรวดร้าวอย่างยิ่งยวด
ปรากฎการณ์ ทิม พิธา อาจก่อหวอดขึ้นจากจุดเล็กๆเมื่อขึ้นบนเวทีของสามย่าน มิตรทาวน์ และหากมองว่าเป็นการหาเสียงหาคะแนนนิยมก็มีความชอบธรรม
ตรงกันข้าม แป้ง นาโหนด เป็นเรื่องของ”นักโทษ”ที่หนีคุก เป็นเรื่องของ”อาชญากร”ที่หนีการไล่ล่าของตำรวจ ไม่ว่าจะอยู่บนเทือกเขาบรรทัด ไม่ว่าจะหลบลงมาและเร้นกาย
เพียงการแสดงตัวผ่าน”คลิป”ก็ท้าทายและเร่งเร้าเย้ายั่วต่อ ความรู้สึกของ”ตำรวจ”อย่างยิ่ง
กระบวนการ”หลบ” กระบวนการ”หนี”จึงมีความร้อนแรง
คำถามจึงมิได้อยู่ที่ว่า แป้ง นาโหนด สามารถหลบและเร้นกายได้อย่างไร หากแต่อยู่ที่ว่าทำไม แป้ง นาโหนด จึงไม่กบดานอย่างเงียบเชียบเพื่อความปลอดภัยแห่งตน
กลับออก”คลิป” กลับเผยแพร่ “คลิป”ออกไปกระทั่งกลายเป็นเรื่องประเภท ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์
กลายเป็นข่าวร้อน พัฒนาและยกระดับเป็น”กระแส”
ถามว่าเป้าหมายในการต่อสู้ของ แป้ง นาโหนด คืออะไร คำตอบมิได้ปิดบังอำพราง หากแต่อยู่ที่ต่อสู้กับ”ระบบ” ต่อสู้กับโครงสร้างแห่ง”อำนาจ”
นั่นก็คือ เรือนจำ นั่นก็คือ การหลุดรอดไปจากการไล่ล่าและจับกุมของตำรวจ
จึงมีทั้ง 1 ราชทัณฑ์ 1 อัยการ 1 ตำรวจ เป็นกำแพงใหญ่
“ผมต้องการที่จะทวงคืนความยุติธรรม และขอความยุติธรรมในสังคมก่อนที่จะมอบตัว”
ในความหวาดระแวงจึงยังมีความมั่นใจ เป็นความหวาดระแวงต่ออำนาจนำที่ดำรงอยู่ภายในกลไกแห่งอำนาจรัฐ
แต่ก็หวังจะใช้”อำนาจรัฐ”นั่นแหละมาคุ้มครอง”ปกป้อง”
กระบวนท่าของ แป้ง นาโหนด จึงสะท้อนการใช้การต่อสู้มาเป็นอาวุธ มาเป็นเครื่องมือ ขณะเดียวกัน เมื่อเกิดความมั่นใจก็ยัง อยู่ภายใต้กลไกนั้นมาเป็นเครื่องพึ่งพิง
เป็นการอยู่ร่วมแต่อยู่ร่วมอย่างมีการต่อสู้ มิได้ง่อก่องอขิง