ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 ธันวาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
ว่ากันว่าที่จักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงประกาศพระองค์ว่าทรงเป็นคริสต์ชน และให้ “คริสต์ศาสนา” เป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมันนั้น เป็นเพราะในช่วงเวลาอันวุ่นวาย จากการแย่งชิงบัลลังก์ ก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์ เมื่อ พ.ศ.849 ได้ทรงนิมิตเห็น “ไม้กางเขน” เรืองแสงอยู่เบื้องหน้า ขณะที่บรรทมอยู่ภายในเต็นท์
แถมยังมีเสียงประกาศิตดังแว่วมาพร้อมกันอีกด้วยว่า “ด้วยเครื่องหมายนี้ เจ้าจะมีชัย!”
แน่นอนว่า “ไม้กางเขน” เป็นสัญลักษณ์ของชาวคริสต์ ที่ถูกกดขี่อยู่โดยอำนาจของจักรวรรดิโรมันนี่เอง แต่นั่นก็ไม่ทำให้พระองค์ทรงลังเลพระทัยเลยแม้แต่น้อย
เช้าวันรุ่งขึ้น พระองค์ทรงสั่งให้คนทำธงรบ ที่ประดับไว้ด้วยสัญลักษณ์รูปไม้กางเขน เพื่อใช้สำหรับนำหน้ากองทัพของพระองค์เอง ที่กำลังจะกรีธาพลเข้าสู่สงคราม ซึ่งก็ทรงได้รับชัยชนะ และทรงก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แห่งพระจักรพรรดิ พ.ศ.850 หรือเพียงปีเดียวหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงประกาศยกเลิกคำสั่งไล่ล่าชาวคริสต์ และทรงอนุญาตให้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนาไปทั่วทั้งจักรวรรดิ
ต่อมาใน พ.ศ.858 จักรพรรดิพระองค์เดิมยังทรงประกาศยกเลิกการลงทัณฑ์ ด้วยวิธีตรึงกางเขนที่ชาวคริสต์ชิงชังเป็นที่สุด ก่อนที่ในปี พ.ศ.867 จะทรงประกาศให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด
ไม่มีใครรู้ว่า จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงนิมิตเห็น “ไม้กางเขน” จริงหรือเปล่าหรอกนะครับ แต่การชูธงไม้กางเขนเข้าร่วมในการแย่งชิงราชบัลลังก์ และสารพัดพระราชกรณียกิจที่ผมเล่าไว้ข้างต้น ก็คงจะทำให้พอเห็นภาพได้ไม่ยากว่า คนกลุ่มไหนคือกำลังพล และฐานเสียงที่ผลักดันพระองค์เข้าสู่จุดศูนย์กลางของอำนาจ?
คนกลุ่มนี้กินหมูนะครับ แถมกินไม่กินเปล่า ยังไปเห็นพวกที่ไม่กินหมู (และอะไรอีกหลายอย่างตามข้อห้ามในศาสนาของยิว) ว่าถูกปีศาจล่อลวงอีกด้วย แล้วลองคิดดูนะครับว่า เมื่อความเชื่อแบบนี้มีพนักพิงนุ่มๆ อย่างอำนาจของหนึ่งในจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักมาจะเป็นอย่างไร?
พ.ศ.867 นอกจากจะเป็นปีที่จักรพรรดิคอนสแตนตินทรงประกาศให้คริสต์ศาสนา เป็นศาสนาประจำจักรวรรดิของพระองค์แล้ว ก็ยังเป็นปีที่พระองค์ประกาศให้เมืองไบเซนไทน์ เป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของจักรวรรดิโรมัน พร้อมกลับทรงเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “คอนสแตนติโนเปิล” (แปลตรงตัวว่า เมืองของจักรพรรดิคอนสแตนติน) แต่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อของเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี
แน่นอนว่า พวกโรมันและชาวคริสต์ต่างก็นั่งเคี้ยวหมูกันได้อย่างสบายใจ ที่ศูนย์กลางใหม่แห่งนี้
แต่ก็ไม่ใช่ว่านี่จะเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยสำหรับคนอาศัยอยู่ที่นั่นมาแต่เดิม
เพราะเอาเข้าจริงแล้วการที่ชาวโรมันรู้จักการทำฟาร์มเลี้ยงหมูได้ ก็เพราะการริเริ่มของผู้คนในละแวกนี้ต่างหาก
เทคโนโลยีการทำฟาร์มเลี้ยงหมูของพวกโรมัน คงจะพัฒนาต่อมาจากกรีก เช่นเดียวกับอะไรหลายๆ อย่างที่พวกเขารับมา แต่ผลจากผลการศึกษา DNA ของหมูจากกระดูกในฟาร์มของชาวกรีกเมื่อกระโน้น ก็ทำให้พบร่องรอยที่เชื่อมโยงต่อไปได้ว่า พวกกรีกได้หมูไปจากฟาร์มเลี้ยงในดินแดนที่พวกเขาเรียกว่า “เมโสโปเตเมีย” ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศอิรักปัจจุบัน เมื่อราว 7,500 ปีที่แล้ว (พร้อมๆ กับงัวควาย)
อันที่จริงแล้ว ผลการวิจัยชิ้นที่ผมอ้างนี้ยังชี้ให้เห็นต่อไปอีกด้วยว่า เป็นหมูในฟาร์มเลี้ยงของกรีกที่อิมพอร์ตไปจากดินแดนในเมโสโปเตเมียนี่แหละ ที่ค่อยๆ กลายพันธุ์ไปจนมีลักษณะเฉพาะ แล้วถูกจับล่องเรือกลับมาโดยพวกฟิลิสไตน์ที่อาศัยอยู่แถบๆ ดินแดนแห่งพันธสัญญาตามความเชื่อของชาวยิว เมื่อราว 3,200 ปีที่แล้ว ซึ่งก็น่าสังเกตว่า เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับช่วงราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์ ที่มีการเลี้ยงหมูเพิ่มขึ้นมากด้วย
ที่สำคัญก็คือ ทั้งพวกอียิปต์ราชวงศ์ที่ 18 และชาวฟิลิสไตน์ที่กินหมูกันแทบจะเป็นอาหารหลักนั้น ต่างก็ได้รับบทเป็น “ผู้ร้าย” ในพระคัมภีร์ของพวกยิว
ดังนั้น ในสมัยที่พวกโรมันสถาปนากรุงคอนสแตนติโนเปิลให้เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันแห่งใหม่นั้น ก็ย่อมมีหมูหลากหลายพันธุ์ให้เลือกกินไม่ว่าจะเป็นหมูพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมก่อนที่จะส่งออกไปกรีก หมูพันธุ์ใหม่ที่กรีกนำไปเลี้ยงจนกลายพันธุ์แล้วพวกฟิลิสไตน์นำกลับเข้ามา หมูในฟาร์มของโรมันเอง
นี่ยังไม่นับรวมหมูป่าที่ก็เป็นเมนูเด็ดระดับมิชลินสตาร์ สำหรับชาวโรมันอีกด้วย
ร้ายที่สุดก็คือ คนที่กินหมูทั้งที่เป็นชาวโรมัน และคนพื้นเมืองของดินแดนแถบนี้คือเมโสโปเตเมีย ถ้าไม่บูชารูปเคารพ (เช่น ไม้กางเขน) ก็นับถือเทพเจ้าหลายองค์ ซึ่งต่างก็เป็นข้อห้ามสำคัญในบัญญัติสิบประการ และพระคัมภีร์ของชาวยิวมาก่อน
ศาสดาของศาสนาอิสลามอย่าง ก็เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว อย่างที่ชาวยิวเชื่อ แถมพระเจ้าของท่านก็ยังเป็นพระอัลลอฮ์ หรือที่ชาวยิวออกเสียงว่า พระยะโฮวาร์เหมือนกันอีกต่างหาก (ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจไปหรอกนะครับว่า การละหมาดในช่วงเริ่มแรกของศาสนาอิสลามนั้น จะต้องหันหน้าไปทางเมืองเยรูซาเลม ซึ่งคือเมืองที่ตั้งของดินแดนแห่งพันธสัญญามาก่อนที่จะหันหน้าไปยังนครมักกะฮ์เหมือนปัจจุบัน)
ท่านมุฮัมหมัด ถือกำเนิดขึ้นเมืองมักกะฮ์ เมื่อ พ.ศ.1113 หรือเกือบๆ 200 ปีหลังจักรพรรดิคอนสแตนติน ประกาศให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน
ว่าในช่วงชีวิตของท่านมุฮัมหมัด ศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันทางฟากตะวันตกคือ กรุงโรมนั้นจะถูกตีแตกไปแล้ว แต่ทางฟากตะวันออกคือกรุงคอนสแตนติโนเปิลนั้น ยังคงมีจักรพรรดิปกครองอยู่นะครับ เฉพาะในส่วนของศาสนาคริสต์ คริสตจักร (Christian Church) ยิ่งเติบโตและมีอำนาจมากมายขึ้นมาเสียจนพระเยซูก็คงจะทรงคิดไม่ถึง
เมืองมักกะฮ์ (Mecca) ที่ท่านมุฮัมหมัดเกิด และใช้ชีวิตอยู่จนกระทั่งประกาศศาสนาอิสลามขึ้นในระยะเริ่มแรกนั้น ก็ถือเป็นเมืองสำคัญของหลายศาสนา
พวกยิว และชาวคริสต์อาจจะเชื่อว่า อาดัมและอีวาถูกพระเจ้าทรงเตะโด่งออกมาจากสวนเอเดนเฉยๆ หลังจากผิดสัญญาไปกินผลไม้แห่งความรู้
แต่สำหรับชาวอิสลามแล้ว อาดัมได้เอาหินดำก้อนหนึ่งลงมาจากสวนแห่งนั้นเพื่อเป็นที่ระลึก โดยที่พระเจ้าทรงยินยอมด้วย แน่นอนว่าหินดำก้อนนั้นก็คือ “กะอ์บะฮ์” (Kaaba) ศูนย์กลางความศักดิ์สิทธิ์ในเมือง ที่ชนชาวมุสลิมใช้ประกอบพิธีฮัจญ์กันนั่นเอง
แต่หินดำก้อนนี้ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่ก่อนที่ท่านมุฮัมหมัดจะประกาศศาสนาอิสลามแล้วนะครับ (เช่นเดียวกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ภายในเมือง ที่ศาสนาอิสลามเชื่อว่า อิสมาอีล บุตรชายอีกคนของอับราฮัม ศาสดาพยากรณ์องค์แรกของทั้งชาวยิว คริสต์ และอิสลาม เป็นผู้ค้นพบ) ก่อนที่ท่านจะประกาศศาสนาอิสลามก็จึงเบื่อหน่ายกับธุรกิจที่โหนอยู่กับความเชื่อ อย่างการขายรูปเคารพบูชาของเทพเจ้าต่างๆ และการเรียกเก็บเงินจากการดื่มน้ำในบ่อศักดิ์สิทธิ์ที่ว่า
จะว่าไปแล้ว ท่าน “มุฮัมหมัด” ก็ดูจะมีประวัติส่วนนี้คล้ายๆ กับ “อับราฮัม” ตามที่มีเรื่องเล่าอยู่ในพระคัมภีร์ฉบับภาษาฮิบรู ของชาวยิวเอาไว้ว่า อับราฮัมเองก็เริ่มเบื่อหน่ายกับศาสนาของเทพเจ้าหลายๆ องค์ เพราะที่บ้านทำธุรกิจขายรูปบูชาเทพเจ้า จนหันไปนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว และไม่เชื่อในการบูชารูปเคารพ ด้วยว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าที่แท้จริง
ท่านมุฮัมหมัดเองก็ดูจะยึดมั่นในหลักการอย่างเดียวกันนี้ของอับราฮัม และท่านคงจะหงุดหงิดใจไม่น้อยที่ ชาวคริสต์ประกาศว่า พระเยซูเป็นทั้งมนุษย์ และพระเจ้า (ตามข้อสรุปของชาวคริสต์ในยุคของจักรพรรดิคอนสแตนติน) แถมอยู่ๆ ก็เอา พระบุตร และพระจิต ไปประทับนั่งอยู่เทียบเคียงพระเจ้า ตามหลักตรีเอกานุภาพ
อะไรที่ชาวคริสต์เชื่อ อย่างไม้กางเขน หรือรูปเคารพอะไรก็ตาม จึงเป็นสิ่งที่ท่านมุฮัมหมัดปฏิเสธ เพราะเป็นการดูหมิ่นพระเจ้า และเมื่อพระเยซูถูกนำไปประทับนั่งอยู่ข้างพระเจ้าแล้ว ก็ไม่แปลกที่พระมุฮัมหมัดจะไม่ยอมรับในสิ่งที่ชาวคริสต์อ้างว่า พระเยซูทรงประกาศ อย่างการกินอะไรก็ได้ (ซึ่งก็แน่นอนว่า ในที่นี้ผมเน้นย้ำไปที่เนื้อหมู) เพราะพระเจ้าทรงชำระให้แล้ว แต่หันไปอ้างอิงจากบทเลวีนิติ (Book of Leviticus) ตามพระคัมภีร์ของชาวยิว หรือพันธสัญญาเดิมของชาวคริสต์แทน
(แต่ในขณะเดียวกับที่ท่านมุฮัมหมัดสืบทอดอะไรหลายอย่างมาจากศาสนายูดาย พวกยิวกลับไม่ยอมรับว่า ตัวท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ที่พระเจ้าทรงส่งมามันเสียอย่างนั้น)
และก็เป็นเพราะอย่างนี้แหละครับ ที่ทำให้เมื่อท่านมุฮัมหมัดประกาศศาสนาในมักกะฮ์ จนกระทั่งมีสาวกเป็นกลุ่มก้อนแล้ว จะไปขัดผลประโยชน์กันกับพวกที่ทำธุรกิจการค้ารูปเคารพ ในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น จนมีเหตุการณ์คุกคามชาวมุสลิม แล้วเลยเถิดไปจนกระทั่งท่านมุฮัมหมัด และสาวกต้องอพยพไปอยู่ที่เมืองที่ห่างออกไปจากมักกะฮ์ถึง 200 กว่าไมล์อย่างเมืองยาธริบ (Yathrib) หรือที่ตอนหลังจะเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองมะดีนะฮ์ (Medina)
แต่การอพยพไม่ได้ยุติการกระทบกระทั่งกันลงเลยสักนิด มักกะฮ์และมะดินะฮ์ ทำสงครามกันตลอด 10 ปีหลังจากนั้น และก็แน่นอนด้วยว่า ทุกครั้งที่มีการรบทัพจับศึก ย่อมมีการสร้างอัตลักษณ์เพื่อสร้างความเป็นกลุ่มเป็นก้อนให้กับคนในกองทัพอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อสงครามในครั้งนั้นเป็นสงครามความเชื่อ
โดยนัยยะหนึ่งแล้วทัพของฝั่งเมืองมะดินะฮ์ จึงเป็นทัพของพระเจ้าที่ทรงบัญญัติเอาไว้ว่า “เนื้อหมู” เป็นสิ่งที่ไม่สะอาด จึงทรงไม่อนุญาตให้กิน (อย่างน้อยศาสนาอิสลามก็ยังไม่เคร่งครัดในข้อห้ามนี้เท่ากับยิว เพราะอย่างน้อยก็มีระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า “แต่ถ้าอยู่ในภาวะคับขัน” ก็กินได้ และผมจะไม่แปลกใจเลยถ้า บทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอานข้อนี้เกิดขึ้นในช่วง 10 ปีของสงคราม กับทัพที่กินหมูของเมืองมักกะฮ์)
แน่นอนว่าท้ายที่สุดทัพเมืองมะดินะฮ์ ของท่านมุฮัมหมัดก็เป็นฝ่ายชนะ มักกะฮ์จึงได้กลายเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม ซึ่งค่อยๆ แพร่หลายมากยิ่งขึ้น จนครอบคลุมทั่วทั้งดินแดนเมโสโปเตเมีย ที่เป็นแหล่งฟาร์มหมูที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกมาแต่เดิม ส่วนข้อห้ามกินหมูนั้นก็ยังตกค้างอยู่ในทั้งศาสนาของชาวยิว และอิสลาม มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้