ย้อนคดีลอบสังหารนายก จากจอมพล ป.ถึงทักษิณ ล่าสุดหนุ่มขู่ฆ่า ‘เศรษฐา’ อ้างปมผิดหวังการเมือง

ความปลอดภัยของผู้นำประเทศ ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาล้อเล่น เหตุการณ์ที่หนุ่มวัย 29 โพสต์ข้อความในลักษณะข่มขู่เอาชีวิตนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แม้นเจ้าตัวจะเป็นแค่คนธรรมดา แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่มิอาจมองข้ามไปได้

ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วกับเหตุการณ์ช็อกโลก ลอบสังหารนายชินโสะ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่คนร้ายไม่พบว่ามีประวัติใช้ความรุนแรง อ้างเหตุเพราะเชื่อเอาเองว่านายอาเบะไปเกี่ยวข้องกับองค์กรด้านศาสนา ทำให้ครอบครัวล้มละลายเพราะทุ่มเทบริจาคเงิน

รับทราบข้อหา

จับคาบ้านหนุ่มโพสต์ขู่ฆ่านายกฯ

ย้อนไปเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ตำรวจ บช.สอท. นำโดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น รอง ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด รอง ผบก.สอท.1 และ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ สอท.1 นำกำลังเจ้าหน้าที่จับกุมกฤษฎา ปานบ้านแพ้ว หรือแบงค์ อายุ 29 ปี ที่บ้านในซอยสวนหลวง แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม. หลังสืบทราบว่าเป็นเจ้าของบัญชีเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ที่โพสต์ข้อความข่มขู่เอาชีวิตนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือตกใจโดยการขู่เข็ญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเจ้าตัวรับสารภาพแต่โดยดี

กฤษฎา ปานบ้านแพ้ว หรือแบงค์ ถูกจับคาบ้าน

นายกฤษฎากล่าวว่า ขอโทษที่กล่าวล่วงเกิน ยินดีไปสถานีตำรวจเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาต่อสิ่งที่ทำ เพราะคำพูดเป็นนายตัวเอง ยอมรับว่าการโพสต์ทั้ง 2 ข้อความมาจากการดูและติดตามข่าว ผิดหวังกับพรรคการเมืองที่เชียร์ เพราะหลังเลือกตั้งกับก่อนเลือกตั้งหนังคนละม้วน บวกกับเวลาโพสต์ได้ดูข่าวสาร แล้วรู้สึกว่าการที่ออกมาพูดมันไม่เหมือนสิ่งที่สัญญาไว้ในทุกๆ เรื่อง บวกกับการกระทำต่างๆ ของพรรค เลยรู้สึกโมโหทุกครั้งกับการกระทำ

“หลังโพสต์ไปแล้ว ผมก็ถูกขุดภาพประวัติส่วนตัว ถูกข่มขู่กลับด้วย และออกมาโพสต์ขอโทษยุติทุกอย่าง ขอโทษในสิ่งที่โพสต์ด่า และแสดงเจตนาที่ไม่เหมาะสมออกไป ด้วยอารมณ์และความไม่ยั้งคิดยั้งทำ ทำให้ขาดสติ จนทำให้เกิดความไม่พอใจ ผมจะปรับปรุงการกระทำ คิดให้เยอะขึ้น และจะขอยุติ เป็นแค่ผู้อ่านข่าวอย่างเดียว โดยไม่แสดงความคิดเห็นอะไร” นายกฤษฎากล่าว

ขณะที่นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า ทราบข่าวแล้วให้ทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย เราเป็นรัฐบาลก็ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน มีคนไม่พอใจ ไม่สบายใจ หรือมีคนแนะนำมา เราก็ต้องฟัง แต่ขอให้ติชมอย่างสร้างสรรค์มากกว่าคุกคาม ส่วนเรื่องการรักษาความปลอดภัยไม่สั่งการอะไร เพราะเชื่อว่าทีมรักษาความปลอดภัยทำงานได้ดีอยู่แล้ว หากเพิ่ม เขาก็จะเพิ่มกันเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลของนายกฯ ยังคงเป็นไปตามปกติของระบบรักษาความปลอดภัย โดยมีรถตำรวจนำขบวน 1 คัน ต่อด้วยรถนายกฯ และรถทีมรักษาความปลอดภัยอีก 2 คัน ซึ่งเป็นไปตามปกติทุกวัน

โพสต์ข่มขู่
โพสต์ข่มขู่

ย้อนคดีลอบสังหารผู้นำไทย

หากย้อนดูอดีต 91ปีที่ผ่านมา เหตุลอบสังหารนายกรัฐมนตรีในเมืองไทยเคยมีมาแล้วหลายครั้ง จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของไทย คือนายกฯ คนแรกที่ถูกลอบสังหาร โดยถูกคนร้ายลงมือถึงสามครั้งซ้อน แต่ก็รอดตายมาได้ทุกครั้ง จนกำเนิดฉายา ‘จอมพลกระดูกเหล็ก’

ครั้งที่ 1 วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2477 ขณะเป็นประธานมอบรางวัลชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลระหว่างเหล่าทัพต่างๆ ที่ท้องสนามหลวง ถูกคนร้ายบุกประชิดตัวใช้ปืนพกสั้นยิงในระยะเผาขน แต่เคราะห์ดีได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนคนร้ายถูกจับได้และซัดทอดถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ว่าจ้างให้มาสังหาร

ถัดมาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2481 ถูกคนรับใช้ในบ้านใช้อาวุธปืนพกยิง แต่กระสุนพลาด ขณะที่คนร้ายไม่ยอมซัดทอดว่าใครเป็นผู้จ้างวาน

ครั้งที่ 3 วันที่ 9 ธันวาคม 2481 จอมพล ป. ถูกแม่ครัวในบ้านลอบใส่ยาพิษในอาหารกลางวัน แต่เมื่อรู้ตัวว่าถูกยาพิษ ได้รีบไปล้างท้องที่โรงพยาบาลทหารบกได้ทัน ส่วนคนร้ายนั้นไม่ซัดทอดผู้จ้างวาน

รอดตายมาได้ถึง 3 ครั้ง แม้กระทั่งในเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2494 ที่ถูกจี้จับตัวในเรือรบหลวงศรีอยุธยา ถูกทิ้งระเบิดผ่านเตียงที่เคยนอนชนิดเฉียดฉิว ก็หาทำอะไร ‘จอมพลกระดูกเหล็ก’ คนนี้ได้

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก ก็ถูกบันทึกว่าเป็นนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารบกคู่บุญ ที่ถูกก่อเหตุลอบสังหาร หลายต่อหลายครั้ง มีการกล่าวหาว่าผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารทั้งหมดคือ “กลุ่มยังเติร์ก” หรือนายทหาร จปร.7

เนื่องด้วยกลุ่มยังเติร์กล้มเหลวในความพยายามทำรัฐประหารระหว่างวันที่ 1-3 เมษายน 2524

ทักษิณ ชินวัตร ระบุเคยถูกลอบสังหาร 4 ครั้ง

ความพยายามลอบสังหาร ‘ทักษิณ’

วันที่ 3 มีนาคม 2544 เพียง 1 เดือนหลังจากนายทักษิณ ชินวัตร รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ก็เกิดเหตุระเบิดเครื่องบินการบินไทย โบอิ้ง 737-400 ซึ่งเป็นพาหนะที่เจ้าตัวกำลังจะใช้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เครื่องบินถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย

หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น นายทักษิณเชื่อว่า สาเหตุของเครื่องบินระเบิดน่าจะมาจากวัตถุระเบิดที่มีผู้นำมาติดไว้ที่ใต้ท้องเครื่องบิน บริเวณที่นั่งวีไอพี

รายงานการสอบสวนกรณีนี้ คณะสืบสวนสรุปสาเหตุไม่ตรงกัน กรรมการชุด พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผบ.ตร.ขณะนั้น ฟันธงเป็นการ “วางระเบิด” เนื่องจากตรวจพบสารอาร์ดีเอ็กซ์ที่เป็นส่วนประกอบของซีโฟร์กระจายอยู่

ขณะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษากรณีเครื่องการบินไทยระเบิด ที่สภาผู้แทนราษฎรตั้งควบคู่กัน โดยมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส.อ่างทอง ประธาน กมธ. สรุปมีแนวโน้มว่าจะเป็นอุบัติเหตุ

ส่วนผลสรุปการสอบสวนของ “คณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NTSB)” ซึ่งเป็นองค์กรการบินระดับโลก ระบุสาเหตุจากอุบัติเหตุที่เกิดจากการเปิดแอร์ระหว่างเติมน้ำมัน คาดว่าสาเหตุมาจากอุปกรณ์ทำความเย็นทำงานต่อเนื่องอย่างหนักได้ปล่อยความร้อนออกมา เป็นเหตุให้ถังเชื้อเพลิงที่อยู่เหนือขึ้นไปเกิดระเบิด

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้นายทักษิณเคยให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการลอบสังหาร และมีสจ๊วตเสียชีวิตหนึ่งคนด้วย เนื่องจากมีซองเอกสารที่มีทริกเกอร์ระเบิดวางที่เก้าอี้ที่นั่งของนายกรัฐมนตรี สจ๊วตไม่รู้ ไปหยิบมาจึงเสียชีวิต

เช้าวันที่ 24 สิงหาคม 2549 หน่วยรักษาความปลอดภัยนายทักษิณ สกัดจับรถเก๋งยี่ห้อแดวู สีเงิน ทะเบียน ฐฉ-3085 กทม. พร้อมควบคุมตัว ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ อายุ 43 ปี สังกัดประจำกองบัญชาการกองทัพบก ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. สังกัดกองบัญชาการทหารสูงสุด อดีตคนขับรถของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี รอง ผอ.กอ.รมน.ขณะนั้น ขณะจอดอยู่บริเวณข้างสะพานข้ามแยกบางพลัด

EODเก็บกู้คาร์บอมบ์

ตรวจสอบบริเวณที่นั่งเบาะหลังและกระโปรงท้าย พบวัตถุระเบิดซีโฟร์ น้ำหนัก 3.5 ปอนด์ ทีเอ็นที รวม 10.75 กิโลกรัม เชื้อปะทุไฟฟ้า จำนวน 2 ดอก วงจรรีโมตคอนโทรล 1 ชุด สายฝักแคระเบิด ยาวประมาณ 12.22 เมตร เชื้อปะทุชนวน 4 ดอก แอมโมเนียมไนเตรต ฟูเอล ออยล์ หนัก 17.33 กิโลกรัม กระสอบทราย 4 กระสอบ มีถังแกลลอนน้ำมันเครื่องสีเขียวและสีดำขนาด 5 ลิตรบรรจุน้ำมันเบนซินผสมปุ๋ยยูเรียจำนวน 7 แกลลอน และที่วางเท้าอีก 6 แกลลอน รวมทั้งยังพบแผงวงจรที่เบรกมือโดยสามารถจุดระเบิดด้วยรีโมตคอลโทรล หรือด้วยโทรศัพท์มือถือ หรือนาฬิกาดิจิทัลซึ่งสามารถสั่งการได้จากภายนอกรถ

ร.ท.ธวัชชัย ปฏิเสธ โดยอ้างรถคันดังกล่าวมีเพื่อนว่าจ้างในราคา 200 บาท เพื่อให้มาขับรถคันดังกล่าวจากตรงจุดที่ถูกจับกุม แต่ตำรวจตรวจสอบพบว่า ร.ท.ธวัชชัยขับรถคันนี้แล่นออกจาก กอ.รมน.เมื่อตอนเช้ามืดวันเดียวกัน จากนั้นเขาก็ถูกสอบเครียดจนสุดท้ายก็ยอมรับว่า เป็นคนขับรถมาจอดไว้เอง

เหตุการณ์ครั้งนั้นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเรื่อง “ลวงโลก” มองว่าเป็นเหตุการณ์ “คาร์บ๊อง”

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ EOD ตรวจสอบอย่างละเอียดก็ยืนยันได้ว่าไม่ใช่เช่นนั้น เพราะวัตุระเบิดทั้งหมดถูกเชื่อมต่อวงจรเอาไว้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะระเบิด

อีกทั้งเมื่อดูจากอาคารพานิชย์ตรงจุดที่จอดรถและกระสอบทรายที่นำมาวาง หากเกิดระเบิดขึ้นมาจะเป็นการช่วยเสริมแรงระเบิดให้พุ่งเข้าใส่สะพานข้ามแยกซึ่งเป็นเส้นทางที่ทักษิณใช้เดินทางเป็นประจำ

EOD ที่ระบุระเบิดที่พบมีอานุภาพความรุนแรงในรัศมีไกลถึง 1 กิโลเมตร

ทว่า ต่อมาอีก 3 สัปดาห์ วันที่ 19 กันยายน 2549 คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้า ก็ทำรัฐประหารโค่น ‘ทักษิณ’

‘ทักษิณ’ เคยให้สัมภาษณ์ในรายการของ CARE คิด เคลื่อน ไทย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2564 บอกเล่าเบื้องหลังหวิดถูกคาร์บอมบ์ถล่มที่ใต้สะพานซังฮี้ไว้ว่า “ที่ไม่ระเบิดก็มี 2 สาเหตุ 1.อาจจะต่อไม่ดีพอ กดแล้วไม่ระเบิด 2.ผมออกจากบ้านเร็ว เขาเลยไปกินอาหารอยู่ในตลาด แล้ววิ่งมาไม่ทัน และกลัวเวลากดระเบิดเนี่ย เป็นระเบิดเครื่องบินบังคับ แล้วไปหลบอยู่เสาเหล็ก การไปกดอยู่เสาเหล็ก ไม่ผ่าน ผมเลยไม่ตาย… และถ้าฆ่าไม่ตายจะปฏิวัติ”

แม้นคดีนี้ศาลพิพากษาลงโทษ ร.ท.ธวัชชัย ข้อหา นำพาระเบิดเข้ามาในเมือง และยกฟ้องข้อหาลอบสังหาร แต่ก็ถือว่าคดีมีมูล หาใช้การกล่าวอ้างเพียงลอยๆ

สำหรับประเด็นการถูกลอบสังหารนายทักษิณ ยังเชื่อว่ามีความพยายามลอบสังหารตนเองมาแล้วถึง 4 ครั้งแต่ก็รอดพ้นมาได้ ซึ่งเจ้าตัวยังระบุว่ารู้ตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์อีกด้วย

แม้นการขู่ฆ่านายกฯ ครั้งล่าสุดนี้ หนุ่มที่ก่อเหตุอาจไม่ทันคิดว่าจะมีใครทำจริง แต่อาจไปจุดประกายให้คนที่มีแนวคิดสุดโต่งเกิดลงมือกระทำจริงๆ ขึ้นมา จึงถูกต้องแล้วที่ตำรวจไม่มองข้ามว่าเป็นเพียงแค่เรื่องก่อกวนไร้สาระ