ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม - 2 พฤศจิกายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ชกคาดเชือก |
เผยแพร่ |
นับจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศไทย เข้าสู่เรือนจำ แล้วก็ออกมานอนพักในโรงพยาบาลตำรวจ ด้วยเหตุผลด้านการเจ็บป่วย รวมทั้งการได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี
อันบ่งบอกถึงสถานการณ์ภาพรวม ที่แปรเปลี่ยนไปแล้วอย่างมาก
เช่นเดียวกับ การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยที่สำเร็จลุล่วง การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน ด้วยเสียงโหวตอย่างท่วมท้น ภายใต้การสนับสนุนจากพรรคการเมืองในขั้วรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการสนับสนุนของ ส.ว.ในสายของ พล.อ.ประยุทธ์
เป็นอีกกรณีที่ยืนยันว่า สถานการณ์การเมืองไทย พลิกผันไปแล้วอย่างมาก
ขณะที่ผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล คนเลือกพรรคก้าวไกล ขุ่นเคืองใจในพรรคเพื่อไทยอย่างสูง ป่าวประณามว่า เพื่อไทยได้สยบยอมเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมการเมืองไทย เพื่อจัดการกับก้าวไกล ทำให้ก้าวไกลไม่ได้เป็นนายกฯ ไม่ได้เป็นรัฐบาล
โจมตีว่าเพื่อไทยเป็นเครือข่ายเดียวกันแล้วกับ พล.อ.ประยุทธ์ และฝั่งอนุรักษนิยมการเมือง ไปเรียบร้อยแล้ว
กระนั้นก็ตามจะพบว่า กลุ่มคนในฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองส่วนหนึ่ง ที่มีบทบาทในวุฒิสภา หรือที่เป็นแกนนำม็อบเสื้อเหลือง ม็อบ กปปส. ยังคงแสดงออกในทางการเมือง เพื่อต่อต้านทักษิณอย่างไม่เลิกรา
รวมทั้งจะพบว่าในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเมื่อ 22 สิงหาคมนั้น ส.ว.ฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองกลุ่มหนึ่ง แสดงการขัดขวางนายเศรษฐา ไม่ให้เป็นนายกฯ อภิปรายคัดค้าน และโหวตไม่เห็นชอบ เพียงแต่ ส.ว.กลุ่มนี้ แม้จะมีบทบาท อภิปรายเสียงดัง แต่รวมพลังโหวตไม่เห็นชอบเศรษฐาได้แค่ 13 เสียง ในขณะที่เสียง ส.ว.โหวตหนุนเศรษฐาถึง 152 เสียง
จากนั้น ส.ว.กลุ่มนี้ ยังเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายของรัฐบาลเศรษฐาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต
เช่นเดียวกับ กลุ่มมวลชนฝ่ายขวาจำนวนหนึ่ง ยังคงแสดงออกในโซเชียล จ้องจับผิดนายกฯ เศรษฐา พร้อมกับยังเชิดชูอดีตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ไปพร้อมๆ กัน
จึงอาจจะกล่าวได้ว่า ยังคงมีฝ่ายอนุรักษนิยมบางส่วน ทั้ง ส.ว. ทั้งแกนนำเสื้อเหลือง แกนนำ กปปส. ที่ยังคงยืนยันจุดยืน ต่อต้านทักษิณ ไม่เอาพรรคเพื่อไทยและนายกฯ เศรษฐา
เพียงแต่เป็นกลุ่มที่ยังมีจำนวนไม่มากนัก
แม้ว่ามวลชนฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองส่วนใหญ่ จะยอมรับแล้วว่า ทักษิณและเพื่อไทยรวมทั้งเศรษฐา เป็นฝ่ายประนีประนอมทางการเมือง ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับขั้วอนุรักษนิยมการเมือง ทั้งมีฝีมือในทางเศรษฐกิจ เหมาะจะพลิกฟื้นประเทศไทยในยามนี้
แต่ก็น่าสนใจว่า ยังมีฝ่ายขวาอีกส่วนหนึ่ง ที่ยังยืนกรานต้านทักษิณและเพื่อไทย!
จุดสำคัญที่ทำให้เครือข่ายขุนศึกขุนนางหันมาจับมือกับพรรคเพื่อไทย สนับสนุนให้เป็นนายกฯ และเป็นรัฐบาลนั้น เพราะความแรงและแหลมคมของพรรคก้าวไกล เดินแนวการเมืองแบบตรงไปตรงมา ไม่ประนีประนอม พร้อมเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้าง จึงทำให้ฝ่ายขวาไทย เริ่มมองพรรคเพื่อไทยด้วยสายตาที่ดีขึ้น เป็นมิตรมากขึ้น
เชื่อว่าแนวทางของเพื่อไทย คือ ประนีประนอม ไม่คิดเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทย เน้นแก้ปัญหาปากท้องประชาชนมากกว่า
นั่นจึงทำให้ ส.ว.ในสายประยุทธ์ 152 เสียงโหวตให้เศรษฐา และพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรคหนุน พล.อ.ประยุทธ์และมีแกนนำ กปปส.เข้ามาสังกัดจำนวนมาก สามารถเข้าร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยได้อย่างกลมกลืน อบอวลด้วยมิตรภาพ ลืมภาพความขัดแย้งปานจะกลืนกินในอดีตไปโดยหมดสิ้น
แถมเร่งการทำงานสนองนโยบายของรัฐบาลอย่างฉับไว
โดยเฉพาะนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โชว์ผลงานลดราคาน้ำมัน ลดค่าไฟฟ้า อย่างรวดเร็วทันใจ จนวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วว่า แล้วทำไมในยุค พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ จึงลดราคาแบบนี้ไม่ได้
ภาพรวมการเมืองไทยในวันนี้ จึงชัดเจนว่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
พรรคเพื่อไทยได้รับความไว้วางใจจากฝ่ายอนุรักษนิยมการเมือง ทำให้เพื่อไทยสามารถเป็นรัฐบาล และทำงานพิสูจน์ฝีมือทางเศรษฐกิจได้เต็มที่ โดยไม่ต้องพะวงการถูกร้องถูกสอยอีกต่อไป
เพียงแต่ก็มีคำถามว่า แล้วทำไม ส.ว.ฝ่ายขวากลุ่มหนึ่ง มวลชนเสื้อเหลือง และ กปปส.ส่วนหนึ่ง จึงไม่ยอมร่วมไปกับกระแสใหม่!?
คำตอบคือ คนเหล่านี้มีจุดยืนต่อต้านระบอบทักษิณ ต่อต้านเพื่อไทย ต่อต้านนโยบายประชานิยม อย่างหัวชนฝา
ต่อต้านมาตั้งแต่อดีตเมื่อปี 2548-2549 จนยากจะเปลี่ยนจุดยืน
ที่สำคัญรู้สึก “อกหัก” ที่ฝ่ายอำนาจอนุรักษนิยมการเมือง หันมาจับมือร่วมกับเพื่อไทยอย่างแนบแน่น
หันมาเปิดไฟเขียวให้ทักษิณกลับบ้านได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย แถมเข้าเรือนจำเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แล้วออกมารักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจมาโดยตลอด
ฝ่ายขวาจัดส่วนนี้ ยังฝังใจการต้านทักษิณไม่เลิกรา และผิดหวังอย่างยิ่งที่เครือข่ายอำนาจยอมร่วมมือด้วย
ที่ผ่านมาจึงได้เห็นการเคลื่อนไหวเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทยหรือ คปท. รวมถึงแกนนำเสื้อเหลือง แกนนำ กปปส.บางราย พยายามตรวจสอบเรื่องการเจ็บป่วยของทักษิณ ตั้งคำถามเรื่องการนอนพักในโรงพยาบาลตำรวจไม่สิ้นสุด ไปแสดงออกถึงหน้าโรงพยาบาล ผสมผสานกับการร้องให้สอบสวนกรมราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลอีกด้วย
พร้อมๆ กันอีกส่วน ก็ต่อต้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของนายกฯ เศรษฐา เพราะหวาดผวาในคำว่าประชานิยมอย่างฝังใจ
กล่าวกันว่า ฝ่ายขวาที่อกหักเหล่านี้ เต็มไปด้วยความคับข้องใจ ที่เคยร่วมขบวนต่อต้านระบอบทักษิณ แต่วันนี้ทักษิณกลับมาได้แล้ว อีกไม่นานคงพ้นโทษตามขั้นตอน
ส่วนแกนนำม็อบเสื้อเหลือง แกนนำม็อบ กปปส.บางส่วน ยังคงถูกดำเนินคดี มีทั้งโดนสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอีกด้วย!!
ดังนั้น กระแสต่อต้านทักษิณที่ยังคงมีอยู่บ้าง
ทั้งกระแสต้านรัฐบาลเศรษฐา สกัดขัดขวางนโยบายสำคัญๆ ของรัฐบาล
จึงมีทั้งแสดงออกโดยฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองที่ไม่ยอมปรับตัวกับสถานการณ์การเมืองไทยที่เปลี่ยนไปแล้ว
ผสมผสานเข้ากับมวลชนสนับสนุนพรรคก้าวไกล ที่ผิดหวังเพื่อไทยรุนแรง จนกลายเป็นความโกรธแค้น เมื่อทิ้งก้าวไกลแล้วหันไปตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคในขั้วรัฐบาลเดิม จึงมองเพื่อไทยไร้ความชอบธรรมไปเสียทุกเรื่อง ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของนายกฯเศรษฐาอย่างรุนแรง
แต่สำหรับรัฐบาลเศรษฐา จำเป็นจะต้องเร่งมือทำงาน เร่งกู้เศรษฐกิจให้ฟื้นคืนมา เร่งดึงการลงทุนจากต่างประเทศ เร่งการนำนักท่องเที่ยวเข้ามาพร้อมเม็ดเงิน
สร้างผลงานแก้ปากท้องประชาชน อันเป็นจุดแข็งของเพื่อไทยให้ประจักษ์ชัด
โดยต้องเดินหน้าฝ่ากระแสต้านที่มาจากทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมการเมืองที่อกหัก ทั้งเหลือง ทั้งสลิ่ม รวมทั้งส้มด้วย!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022