ในความเป็นนิธิ (1) | บทความพิเศษ สุชาดา จักรพิสุทธิ์

นิธิ เอียวศรีวงศ์

บทความพิเศษ | สุชาดา จักรพิสุทธิ์

 

ในความเป็นนิธิ (1)

 

นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นคน 3 แผ่นดินที่มีชีวิตก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-การเมืองไทยที่สำคัญๆ หลายยุค หลายเหตุการณ์

นับแต่ที่จำความได้ถึงกรณีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 สิ้นพระชนม์

นิธิวัยหนุ่มได้รับรู้และจดจำเหตุการณ์กบฏสันติภาพที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม กวาดจับปัญญาชนหัวก้าวหน้าที่ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นคอมมิวนิสต์

ในฐานะนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ นิธิประทับใจและข้องใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรุ่นพี่ผู้ปราดเปรื่องอย่างจิตร ภูมิศักดิ์

นิธิจบการศึกษาเป็นประชาชนวัยทำงานในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 เป็นต้นมา ใช้เวลาวัยหนุ่มไปกับการอ่านหนังสือและศึกษาเล่าเรียนในสิ่งที่เขาเลือกเอง คือการเป็นนักประวิติศาสตร์ผู้สังเกตการณ์และค้นหาความรู้จากอดีตเพื่อทำความเข้าใจปัจจุบัน

นิธิได้เป็นประจักษ์พยานการปฏิวัติรัฐประหารเปลี่ยนแปลงรัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่านับสิบครั้ง

ได้ขบคิดและเฝ้าดูพัฒนาการด้านประชาธิปไตย สังคมและวัฒนธรรมไทยด้วยคำถามและการเขียน

ร่วมรู้สึกเติมเต็มและตกผลึกสำนึกทางการเมืองในเหตุการณ์สำคัญอย่าง 14 ตุลาคม 2516-6 ตุลาคม 2519 พฤษภาทมิฬ 2535 และรัฐประหาร 2549 ที่กระชากดึงสังคมไทยลงสู่หุบเหวของอำนาจแฝงเร้นเรื่อยมา

เป็นคนหนึ่งที่มีทหารมาเฝ้าหน้าบ้านภายหลังการรัฐประหารครั้งที่เลวร้ายที่สุดเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557

 

คงเป็นเช่นนั้น ที่คนเราจะก่อประกอบความคิดจิตวิญญาณและอัตลักษณ์ตัวตนมาจากพื้นฐานครอบครัว กับการศึกษาและประสบการณ์ผ่านพบในชีวิต

และหากเชื่อว่าเราสามารถพิเคราะห์คนคนหนึ่งและประเมินคุณค่าของเขาได้จากสิ่งที่เขา ‘คิด’ ‘ทำ’ และ ‘เป็น’ ข้อเขียนชิ้นนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับการเรียนรู้จากนิธิ

อะไรทำให้คนอย่างนิธิ เป็น “บุรุษรัตนของสามัญชน เป็นนักคิดนักเขียนผู้ยิ่งยง เป็นปัญญาชนผู้ยืนเคียงข้างประชาชนผู้ตกยาก” (ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ 18-24 สิงหาคม 2566)

“กล้าตั้งคำถามกับความเชื่อเดิมๆ ในประวัติศาสตร์ นำไปสู่คำตอบใหม่ มุมมองใหม่… เป็นคนที่สันโดษ ปฏิเสธการใช้อภิสิทธิ์ใดๆ ในฐานะคนดัง” (ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์) “เป็นเวลานานกว่าที่สังคมสยามไทยจะสามารถให้กำเนิดนักคิดนักเขียนที่มีจุดยืนกแน่วแน่และมั่นคงเช่นนี้ได้”

เป็น “สุดยอดปัญญาชนแห่งยุคสมัย” (สุพจน์ แจ้งเร็ว บรรณาธิการนิตยสารศิลปวัฒนธรรม, 31 สิงหาคม 2566)

ที่แน่ๆ คนอย่างนิธิเป็นคนแบบที่รัฐไทยไม่ต้องการ ในห้วงเวลาการจากไป ไม่มีหน่วยงานรัฐใดแม้แต่มหาวิทยาลัยที่นิธิสังกัดและสร้างชื่อเสียงให้ตลอดชีวิตราชการ จะยกย่องอาลัย แต่กลับมีการซื้อพื้นที่สื่อแถลงชื่นชมอวยยศนักการเมืองจากกระทรวงอุดมศึกษาฯ ที่มารับตำแหน่งใหม่

นี่คือสังคมและวัฒนธรรมที่นิธิหยิบยกมาชี้ให้เห็นปัญหาในแง่มุมต่างๆ ผ่านบทความจำนวนมาก อย่างที่ ศ.ดร.พวงทอง เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “อ.นิธิมักจะจับเรื่องทั่วไปที่เราไม่เคยรู้สึกว่าเป็นปัญหา ขึ้นมาทำให้เห็นว่าเรื่องนี้มีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน”

 

อาจจำเป็นที่ต้องกล่าวถึงนิธิในแง่ประวัติส่วนตัว ที่เคยมีการเผยแพร่ผิดเพี้ยนไป อาทิ ข้อมูลบางแห่งบอกว่านิธิเกิดที่เชียงใหม่ ซึ่งไม่ถูกต้อง

ข้อเท็จจริงคือนิธิเกิดในย่านทรงวาด ต่อมาครอบครัวย้ายไปอยู่ย่านสุขุมวิท กรุงเทพฯ ในครอบครัวที่มีฐานะเศรษฐกิจจัดว่าดี ระดับที่แม่จ้างครูแหม่มมาสอนภาษาอังกฤษให้แม่และลูกๆ ได้ พ่อเป็นยี่ปั๊วค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค

นิธิเป็นลูกจีน generation ที่ 3 และเป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องทั้งหมดรวม 6 คน มีพี่ชาย 2 คน พี่สาว 3 คน ปัจจุบันคงเหลือพี่สาว 2 คนที่ยังมีชีวิตอยู่

พี่ชายคนหนึ่งเป็นปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงในแวดวงสถาปัตยกรรม คือ อมร (เอียว) ศรีวงศ์

พี่ชายอีกคนทำธุรกิจการเกษตรและปศุสัตว์ พี่สาวคนหนึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ

นิธิในวัยเด็ก เรียนประถมต้นในโรงเรียนเอกชนใกล้บ้าน (โรงเรียนสุกิจ ปิดไปนานแล้ว)

ความเป็นเสรีชนเริ่มขึ้นเมื่อเขาเป็นผู้กำหนดอนาคตตนเองโดยการขอพ่อแม่ไปอยู่โรงเรียนประจำที่อัสสัมชัญศรีราชา จนถึงมัธยม ด้วยเหตุผลในใจที่อยากมีเสรีภาพและอ่านหนังสือได้ตามใจชอบ ไม่ใช่เพราะเกเรดื้อร้ายจนทางบ้านส่งไปดัดนิสัยอย่างที่มีคนให้ข้อมูลผิด

หรืออย่างที่เขามักตอบเล่นๆ (เพราะถ่อมตัว) เวลาถูกถาม ช่วงเวลาวัยรุ่นที่ต้องรับผิดชอบตัวเองทั้งเรื่องการเรียน การดูแลตัวเองและการจัดสรรเงินที่ได้รับให้เพียงพอ คงมีส่วนฝึกวินัยในตนเองแก่เขา

อย่างไรก็ดี เรื่องซนๆ ประสาวัยรุ่น อย่างการหนีเรียนไปดูหนัง หนีเรียนไปขี่จักรยานแข่งกับเพื่อนที่ชายทะเล ก็เป็นเรื่องเล่าชวนหัวเมื่อนิธิเล่าฉากที่ตนหย่อนจักรยานลงมาจากช่องหน้าต่างเรือนนอน แล้วมาสเตอร์ประจำชั้นเป็นคนรับกับมือ ฉากคล้ายภาพยนตร์นี้จึงจบลงที่แก๊งหนีเรียนถูกทำโทษเป็นธรรมดา

แล้วยังเรื่องเล่าอย่างการไม่มีเงินกินข้าว ต้องใช้กลยุทธ์รวมสตังค์กับเพื่อนเพื่อไปซื้อไข่ไก่และกะปิ มาตำน้ำพริกละลายน้ำกินกับไข่เจียว ที่ส่งทอดมาเป็นเรื่องเล็กๆ ในชีวิตนิธิ อย่างการตำน้ำพริกกะปิเองได้รสชาติเด็ดดวงสุดยอด แต่ต้องกินกับไข่เจียวเท่านั้น

รวมทั้งคติประจำใจที่นิธิยั่วล้อตัวเองบ่อยๆ ว่า “กินกับเยอะเดี๋ยวเพื่อนไม่คบ”

 

นิธิสอบ pass ชั้นหรือสอบเทียบมัธยมปลาย แล้วสอบ entrance เข้าเป็นนิสิตอักษรศาสตร์จุฬาฯ ในปี 2500 ร่วมรุ่นกับชูเกียรติ อุทกะพันธุ์ (เสียชีวิตแล้ว) อนุช อาภาภิรม และอาคม พัฒิยะ (เสียชีวิตแล้ว) ไม่ได้โดดเด่นอะไร

นิธิอธิบายตนเองว่า “จืด” เป็นเด็กหลังห้อง ชอบตีปิงปองและเป่าเมาธ์ออร์แกน นี่อาจเป็นทักษะและความรักดนตรีที่มีสืบเนื่องตลอดมา

น้อยคนจะรู้ว่านิธิเป็นนักฟังดนตรีคลาสสิค สะสมซีดีเพลงคลาสสิคทั้งที่เป็นชุดใหญ่ๆ ละครเพลง โอเปร่าและแผ่นเสียง รวมๆ ราว 2,000 แผ่น รวมทั้งชอบที่จะเสาะแสวงหาเครื่องเสียงหรือลำโพงดีๆ ที่ให้สุนทรียรสในการฟัง

น่าทึ่งที่เขามีหูวิเศษบอกได้ว่าเครื่องเสียงตัวนั้นตัวนี้มีจุดด้อยจุดดีตรงเสียงคีย์ไหนบ้าง ต้องปรับจูนตั้งวางอุปกรณ์แต่ละชิ้นไว้ที่ทิศและความสูงระดับไหน เป็นต้น มีทักษะเชิงช่างที่ต่อพ่วงอุปกรณ์ต่างๆ และซ่อมแซมได้เอง

ซึ่งนิธิเล่าว่าได้เรียนรู้การฟังเพลงคลาสสิคจากศาสตราจารย์เฮอร์เบิร์ด ฟิลลิปส์ ในช่วงที่ศึกษาปริญญาเอกและเป็นผู้ช่วยวิจัยให้

ความจืดของนิธิในช่วงการเรียนอักษรศาสตร์ ก็อาจไม่จริงนักถ้าดูจากบทความที่เขาเขียนตีพิมพ์ในวารสารสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ฉบับนิสิตนักศึกษา (ปีที่ 1 ฉบับที่ 1, มีนาคม 2509) ‘ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับกิจกรรมนอกหลักสูตรในจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย’ ที่เขาถามหา “ชนชั้นสมองในอุดมคติ”

มีความตอนหนึ่งว่า “หรือท่านจะละอายว่านิสิตจุฬาฯ ไม่มีปัญญาทำกิจกรรมอะไรได้นอกจากเชียร์กีฬา กิจกรรมที่ทำได้ด้วยการจำเนื้อเพลงและทำนองประมาณ 10 เพลง และเสียงตะโกนของอนารยชนในแอฟริกา”

 

ภายหลังจบปริญญาตรี นิธิเคยสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย แต่สอนอยู่ได้เพียง 2 เดือนก็ลาออก เนื่องเพราะแหวกขนบการสอน ไม่เป็นครูประเภทเขียนกระดานผัน verb แต่ใช้กระบวนการตั้งคำถามชวนคุยเป็นภาษาอังกฤษให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วม จนวันหนึ่งอาจารย์ใหญ่มายืนหน้าห้อง นิธิก็ลาออกวันนั้นแหละ

จากนั้นก็ไปทำงานที่บริษัทไทยวัฒนาพานิช ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ตำราเรียนและหนังสือสำหรับเยาวชน ก่อนจะกลับไปเรียนต่อปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์ ที่อักษรศาสตร์จุฬาฯ

ระหว่างนี้เขาถูกชักชวนเข้าร่วมกองบรรณาธิการ ‘สังคมศาสตร์ปริทัศน์’ เป็นหนุ่มหน้าตี๋ที่สุจิตต์ วงษ์เทศ เคยเขียนเล่าว่าเจอในการประชุมกอง บ.ก. “เต๊ะชิบหาย พูดจาปันยาชนปนยาชัน”

แต่เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้น เมื่อนิธิจบการศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา สุจิตต์เล่าต่อว่า “กลายเป็นอาจารย์นิธิที่สุภาพเรียบร้อย เงียบขรึม ไม่ค่อยหัวเราะ แต่ดูน่ารักมีเมตตา”

 

นิธิเข้าเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี พ.ศ.2509 ภายหลังจบปริญญาโท และไปเรียนต่อปริญญาเอกด้วยทุนจากมูลนิธิฟอร์ด กลับมาเป็นอาจารย์ต่อที่ภาควิชาเดิมช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา เป็นต้นมา

มีคำถามจากมิตรบางคนที่ให้สงสัยว่า มันสมองระดับนิธิ ทำไมจึงไม่เลือกเรียนปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงลำดับต้นๆ ของโลก

แล้วก็มีใครบางคนให้ข้อมูลว่า เนื่องจากอาจารย์อาวุโสบางท่านในคณะอักษรศาสตร์นั่นเอง ที่ส่ง recommendation ขัดขวางมิให้มหาวิทยาลัยคอร์แนลตอบรับนิธิเข้าเรียน เนื่องจากอาจารย์ท่านนั้น (ซึ่งคงเป็นอนุรักษนิยมเข้มข้น) เห็นว่านิธิหัวรุนแรงนิยมซ้าย เกรงจะแปดเปื้อนแก่สีชมพูอันศักดิ์สิทธิ์

นิธิเคยบอกเล่าทีเล่นทีจริงว่า จริงๆ แล้วอยากเป็นนักเขียนนวนิยาย แต่รู้ว่าคงเอาดีไม่ได้เมื่อตัวเองได้เขียนเรื่องสั้นเรื่องแรกและเรื่องเดียวในชีวิต ชื่อ ‘แด่มนุษยชาติ’ เป็นเรื่องสั้นต่อต้านสงครามในช่วงที่สหรัฐพัวพันอยู่ในสงครามอินโดจีน ตีพิมพ์ในนิตยสารบานไม่รู้โรย ปีที่ 1 ฉบับที่ 8 กันยายน 2528

ซึ่งนิธิบอกว่า “ทื่อ ไม่เป็นสัปปะรส” (สรรพรส) “ผมเขียนประโยคสนทนาให้เป็นธรรมชาติไม่เป็นเอาเลย”

นิธิประทับใจเป็นพิเศษกับเรื่องสั้นของ ‘ศรีดาวเรือง’ ที่ได้อรรถรสยอดเยี่ยมของบทพูดของตัวละคร ดังนั้น การที่บางคนให้ความเห็นว่าความสามารถด้านวรรณกรรมและการเขียนที่แตกฉานของนิธิ ได้มาจากการเป็นนิสิตอักษรศาสตร์ นี่อาจถูกเป็นบางส่วนเท่านั้น

นิธิน่าจะ born to be เสียมากกว่า เขาติดตามแม่ไปวัดฟังเทศน์จนถึงวัยหนุ่มเพราะชอบฟังสำนวนเทศน์โบราณ เหตุปัจจัยสำคัญนั้นน่าจะมาจากความรักในการอ่านที่เรียกได้ว่าอ่านมากมหาศาล อ่านหลากหลาย ถึงขนาดอยากไปอยู่โรงเรียนประจำเพื่อจะได้อ่านหนังสือ

เมื่ออ่านมากรู้มากและคิดได้มาก ก็ย่อมมีประเด็นที่อยากเขียนอยากสื่อ มีคำถามกับทุกสิ่ง คิดนอกกรอบกับทุกเรื่อง และต่อจิ๊กซอว์ข้อมูลความรู้ที่ได้จากการอ่านเป็นภาพใหญ่ได้ สังเคราะห์เป็นวิธีคิดเชิงวิเคราะห์ได้

สังเกตว่า ข้อเขียนในวัยหนุ่มของนิธิหลายชิ้น ยังมีสำนวนภาษาแบบคนหนุ่มที่บางครั้งโลดโผนเหน็บแนม มากกว่าข้อเขียนสมัยหลังที่ใช้ประโยคเชิง concept กระชับแหลมคม แต่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน น้ำเสียงเป็นผู้สูงอายุ นัยยะคือว่า ภาษาเป็นเรื่องการเจริญวัยและเจริญความคิดของคนคนหนึ่ง

…ลองดูได้จากข้อเขียนเกี่ยวกับพุทธศาสนาของนิธิในยุคหลัง ที่เขียนเรื่องเข้าใจยากให้มีรสชาติแพรวพราวไปด้วยนัยยะสำคัญ

 

ชื่อของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ถูกโจษขานจากผลงานวิชาการนับแต่ อาณาจักรทวารวดี, การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์, ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา วัฒนธรรมกฏุมพีกับวรรณกรรมต้นรัตนโกสินทร์, ศรีรามเทพนคร จนถึง สุนทรภู่ มหากวีกฎุมพี, โลกของนางนพมาส, ลัทธิพิธีเสด็จพ่อ ร.5 และผลงานเขย่าวงวิชาการอย่าง การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี การเมืองไทยสมัยอยุธยา ปากไก่และใบเรือ ที่ยังคงได้รับการตีพิมพ์ซ้ำและมีผู้อ่านจากรุ่นสู่รุ่นเรื่อยมา

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ แต่นิธิมีข้อเขียนข้ามศาสตร์มากเสียจนกล่าวได้ว่า แทบไม่มีประเด็นใดหรือปรากฏการณ์ร่วมสมัยอันใดที่นิธิไม่เคยเขียนถึง

ดูได้จากรายชื่องานตีพิมพ์ของเขาอย่าง…

สภาพเศรษฐกิจสังคมไทยยุคใหม่ : จริยธรรมในการศึกษาสำหรับอนาคต, สองหน้าสังคมไทย, วีรบุรุษในวัฒนธรรมไทย, การปฏิรูปพระพุทธศาสนาในประเทศไทย, เชิงอรรถสังคมไทยในสายตานักวิเคราะห์, โขน คาราบาว น้ำเน่าและหนังไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์ไทย, ผ้าขาวม้า ผ้าซิ่น กางเกงในฯ, สังคมไทยในกระแสความเปลี่ยนแปลง, ยุคสมัยไม่เชื่ออย่าลบหลู่, วัฒนธรรมความจน, เก็บที่โล่งแก่รากหญ้า, คนจนกับนโยบายการทำให้จนของรัฐ, พุทธศาสนาในความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย, ก่อนยุคพระศรีอาริย์ ว่าด้วยศาสนา ความเชื่อและศีลธรรม, คำมีคม ว่าด้วยภาษา วัฒนธรรมและอำนาจ, ว่าด้วยการเมืองของประวัติศาสตร์และความทรงจำ, ว่าด้วย ‘เพศ’ ความคิด ตัวตนและอคติทางเพศ, นอกรั้วโรงเรียน, ไฮเทคาถาปาฏิหาริย์ ว่าด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในสังคมไทย, บริโภค/โพสต์โมเดิร์น, อ่านวัฒนธรรมการเมืองไทย, ประวัติศาสตร์ ชาติ ปัญญาชน, วัฒนธรรมคนอย่างทักษิณ, รากหญ้าสร้างบ้าน ชนชั้นกลางสร้างเมือง, ความไม่ไทยของคนไทย ฯลฯ

รวมถึงบทความที่จุดไฟการถกเถียง คิดต่อ อย่าง รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม และ ทหารมีไว้ทำไม…

ศ.ธงชัย วินิจจะกูล พูดถึงเขาว่า เพราะ “นิธิเป็น Renaissance man ของยุคสมัย” นิธิจึงเป็นปัญญาชนสาธารณะ ที่มีผู้กล่าวถึง อ้างอิงและวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้

 

บันทึกไว้ในที่นี้ด้วยว่า นิธิจบการศึกษาปริญญาโทด้วยวิทยานิพนธ์เรื่อง ‘การปราบฮ่อและการเสียดินแดน พ.ศ.2431’ (Suppression of the Haw uprisings and loss of Thai territories in 1888) ต้นฉบับเข้าเล่มพิมพ์ด้วยตัวพิมพ์ดีดโบราณ พร้อมลงลายเซ็นอาจารย์ที่ปรึกษา ยังแอบเก็บไว้อยู่ (ที่ว่าแอบเพราะนิธิโยนทิ้งไปแล้ว) ส่วนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก คือ ‘Fiction as history : a study of pre-war Indonesian novels and novelists 1920-1942’

นิธิเขียนบทความตีพิมพ์ในสื่อหนังสือพิมพ์เสียส่วนใหญ่ โดยเป็นคอลัมนิสต์ให้แก่หนังสือพิมพ์ ‘ผู้จัดการ’ อยู่ราวปีกว่า และเป็นคอลัมนิสต์ประจำให้แก่หนังสือพิมพ์ ‘มติชน’ นับจากปี 2522 เป็นต้นมา

นอกนั้นก็มีข้อเขียนประเภทคำนำหนังสือ หรือข้อเขียนเฉพาะกิจ หรือแม้แต่คำให้การแก่ศาลในคดีอยุติธรรมหลายคดี ที่ลูกศิษย์ลูกหา เพื่อนพ้อง ตลอดจนเอ็นจีโอ ชาวบ้าน ภาคประชาสังคมหรือสถาบันการศึกษาบางแห่งมาขอให้เขียน ซึ่งนิธิไม่เคยปฏิเสธ

โดยให้เหตุผลว่า “คนเขาเดือดร้อน” หรือ “เขาให้เกียรติ” และ “มันไม่ยุติธรรม เราต้องช่วย”

 

เป็นไปได้ว่า วิธีคิดและปัญญาญาณของคนคนหนึ่งนั้นคือผลลัพธ์หรือผลรวมจากข้อมูลความรู้ และประสบการณ์ทั้งด้านลบด้านบวก รวมถึงสังคมแวดล้อม เปรียบดัง in put ของคอมพิวเตอร์ชั้นดี ที่น่าจะประมวลผลเป็น out put ที่มีคุณภาพได้

ฉันใดฉันนั้น นิธิอ่านหนังสือในระดับพิสดาร นั่นคืออ่านพงศาวดารจำนวนนับร้อยๆ เล่ม ทั้งพงศาวดารโยนก น่านเจ้า พงศาวดารลาว เขมร เวียดนาม พม่า อ่านแม้กระทั่งกฎหมายตราสามดวงฉบับดั้งเดิม อ่านมังรายศาสตร์ และอ่านภาษาดัตช์ (โดยมีพจนานุกรมภาษาดัตช์อยู่เคียงข้าง)

ที่รู้ว่าอ่านหมดเพราะมีกระดาษโน้ตแทรกอยู่ในหลายๆ เล่ม เขียนข้อความตั้งคำถามบ้าง จดเลขหน้าและข้อความไว้อ้างอิงบ้าง

ในระยะสองสามปีหลัง นิธิยังตั้งใจเรียนภาษาฝรั่งเศสและภาษาเวียดนามด้วยตนเอง มีสมุดจดแบบฝึกหัดการผัน verb ภาษาฝรั่งเศสเหมือนนักเรียนน้อย

การอ่านมากระดับพิสดารนี้เองที่ทำให้เขามีวิธีคิดเชิงระบบและการใช้เหตุผล มองปรากฏการณ์ลงลึกสู่ปัจจัยเชิงโครงสร้าง ทำให้ข้อเขียนเกิดพลังของคำอธิบาย

ความน่าฉงนของนิธิยังอยู่ที่ความเป็นนักวิชาการที่นำเสนอประเด็นและข้อวิเคราะห์อันใหญ่เบิ้มด้วยข้อมูลสนับสนุนที่ปฏิเสธไม่ได้ แหวกขนบและชวนคิดตาม

นิธิมีวิธีอธิบายความซับซ้อนของปัญหาด้วยรูปธรรมของปรากฏการณ์ร่วมสมัย ใกล้ตัว ดังที่ข้อเสนอทางวิชาการและผลงานเขียนจำนวนมากของนิธิ ทำให้ผู้อ่านตาสว่าง มองเห็นปัญหาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

หลายคนอุทานกับข้อเสนอของนิธิว่า “คิดได้ยังไง (เนี่ย)”

ตัวอย่างเช่น ที่นิธิเปรียบเปรยสำนึกเกี่ยวกับสังคมและชาติหน้าว่า “สังคม คำนี้เป็นนามธรรม เบลอๆ พอกับคำว่าชาติหน้าแหละครับ สังคมและชาติหน้านั้นเป็นแนวคิดเดียวกัน เพราะชาติหน้าคือที่ซึ่งตัวเราหรือคนที่เรารักจะไปผุดไปเกิดในอนาคต อย่างเดียวกับสังคมคือที่ซึ่งเราจะปลูกฝังลูกหลานของเราและคนที่เรารักเอาไว้ในนั้น…ในอนาคต”

โลกทัศน์เช่นนี้สะท้อนความเป็นคนโบราณในบางมิติของนิธิด้วย เขาพูดเสมอว่า “ผมถือพุทธ” อันหมายความว่าเขามีความศรัทธาในหลักธรรมส่วนที่เป็นแก่นแกน อย่างน้อยก็เชื่อเรื่องการใช้ชีวิตในทำนองคลองธรรม และยังอยากให้ศาสนาพุทธเป็นที่พึ่งทางปัญญาและจิตวิญญาณแก่ประชาชน

จึงห่วงใยอย่างยิ่งต่อปัญหาวิกฤตในวงการศาสนาพุทธ (ภายใต้รัฐ) เห็นได้จากข้อเขียนว่าด้วยปัญหาต่างๆ ทางศาสนา และข้อเสนอต่อการเปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป รวมๆ นับร้อยชิ้น โดยเฉพาะช่วงทศวรรษหลังของชีวิต

 

ที่ชวนสนเท่ห์อีกประการหนึ่งก็คือ อะไรทำให้นิธิอ่านพิสดารแล้วสามารถจดจำเรื่องราว ข้อมูล ตัวละครและช่วงปีในประวัติศาสตร์ รวมทั้งศัพท์โบราณต่างๆ ได้อย่างดี จนสามารถประกอบสร้างและต่อยอดเป็นความรู้ชุดใหม่ประเด็นใหม่ๆ ขึ้นมาได้

โดยเฉพาะข้อเขียนเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่มีศัพท์เทคนิคยากๆ ที่นิธิบอกว่าตั้งใจจะใช้ เพื่อเป็นโอกาสในการอธิบายปรัชญาพุทธศาสนาให้เชื่อมโยงกับยุคสมัย

“อิทธิบาท 4 เองก็เป็นส่วนหนึ่งของโพธิปักขิยธรรม หรือธรรมที่มุ่งไปสู่ความตรัสรู้ คำว่าสันโดษตามคำแปลของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็คือ..การมีความสุขความพอใจด้วยเครื่องเลี้ยงชีพที่หามาได้ด้วยความเพียรพยายามอันชอบธรรมของตน (พจนานุกรมฉบับประมวลศัพท์)…เครื่องเลี้ยงชีพนะครับ ไม่ใช่รถหรูหรือนาฬิกาหรู”

ใครที่เคยอ่านคอลัมน์ตอบปัญหาชีวิต ‘แล้วเราก็ปรึกษากัน’ ในนิตยสารแพรว ช่วงทศวรรษที่ 2530 แปลกใจไปตามๆ กัน เมื่อได้รู้ว่าคอลัมนิสต์ชื่อ ‘รังรอง’ คือนักวิชาการคนสำคัญที่ชื่อ ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์

แปลกใจเพราะบทสนทนากับผู้อ่านที่เขียนมาปรึกษาปัญหาชีวิตกับรังรอง ได้รับการตอบรับด้วยท่าทีและถ้อยคำอันอบอุ่น ประหนึ่งการนั่งปรึกษากับญาติผู้ใหญ่ที่สนิทสนม แม้สำนวนภาษาจะดู mature จนเดาได้ว่ารังรองน่าจะเป็นผู้มีการศึกษาดี แต่ท่าทีอันเป็นมิตร รับฟังและตั้งใจสื่อสารกับเจ้าของปัญหาโดยตรง แบบ ‘เรา’ กำลังปรึกษากันจริงๆ นั้น

ทำให้ผู้รับคำปรึกษาหลายคนถึงกับเขียนมาบอกอีกว่า ตนนั้นได้รับพลังใจที่ส่งผ่านข้อแนะนำจนสามารถทำความเข้าใจใหม่ต่อปมปัญหาที่มีและก้าวข้ามจุดสะดุดของชีวิตมาได้

อะไรทำให้รังรองมีท่าทีเช่นนี้ต่อชีวิตผู้คนและปรารถนาดีที่จะ ‘ปรึกษากัน’ กับเจ้าของชีวิตที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา หรือเพราะรังรองก็คือนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักคิดนักเขียน นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการที่มีจิตวิญญาณเป็นครู เป็นนักมนุษยนิยมและเป็นนักประชาธิปไตยมาตลอดชีวิต เป็นผู้มีความรักความหลงใหลอันล้นเหลือต่อการอ่านและการค้นคว้าหาความรู้ ชั่วชีวิตมีอยู่เพียงรักเดียวคือ ‘รักความรู้’

การอ่านของรังรอง-นิธิก็คือการอ่านในความหมายของการ ‘อ่านโลกอ่านชีวิต’

 

อีกหนึ่งเรื่องเข้าใจผิดคือ นิธิไม่ได้เข้าโครงการเกษียณก่อนสิ้นอายุราชการ

หากแต่ ‘ลาออก’ ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2543 เมื่ออายุเต็ม 60 ปี

ด้วยความคิดและเหตุผลที่จะไม่กีดขวางเบียดบังโอกาสของคนข้างหลัง…แม้แต่วันเดียว

เป็นมนุษย์พันธุ์ ‘ตงฉิน’ หรือ Integrity (ซื่อสัตย์ต่อตนเอง) ที่พูดเสมอว่า “ไม่สำคัญว่าใครคิดยังไงกับเรา สำคัญว่าตัวเราเองเป็นยังไงจริงๆ”

เกียรติยศนอกกายไม่ว่าจะเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ รางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ รางวัลฟูกูโอกะ รางวัลศรีบูรพา จึงไม่เคยถูกนำมาตกแต่งห่อหุ้ม

นิธิกลับสนุกสนานกับกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัย เขามีส่วนในการผลักดันก่อตั้งกลุ่มเสวนาของนักวิชาการหลากรุ่น อย่างกลุ่มจักรวาลวิทยา กลุ่มพฤหัสเสวนา มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน

หรือรับเชิญปาฐกถา อภิปราย ให้แก่กลุ่มชาวบ้านและเอ็นจีโอที่รณรงค์ต่อสู้กับโครงการใหญ่ที่ไปแย่งชิงทรัพยากรและทำลายคุณภาพชีวิต-สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น อย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เรื่องเขื่อนปากมูลของชาวบ้าน-สมัชชาคนจน การคัดค้านท่อก๊าซไทย-มาเลย์ โรงไฟฟ้าที่บ้านกรูด-บ่อนอก

หรือการลงพื้นที่จัดเสวนาเกี่ยวกับสถานการณ์รุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นต้น