คอฟฟี่เบรก ประภาส อิ่มอารมณ์ / ตำนานรักของแม่ยาหยี…กับ…นายแห้ง

คอฟฟี่เบรก/ประภาส อิ่มอารมณ์

ตำนานรักของแม่ยาหยี…กับ…นายแห้ง

นายแห้ง ตัวผอมบางจนมองด้านข้างเห็นหลังโค้งโก่ง เป็นเพื่อนรักกับนายผอม ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน และก็เพื่อนอีกคนชื่อนายเบ๊อะ ตัวเตี้ยป้อม แม้จะผสมกันไม่เป็นสามผอม แต่ก็ร่วมแก๊งกันได้

นายเบ๊อะคนนี้ตอนเป็นพี่ช่างศิลป์ แอบไปหลงรักสาวรุ่นน้องและแอบจริงๆ เพราะความที่เป็นเด็กชาวสวนจึงขาดความกล้าที่จะสมาคมกับใครโดยเฉพาะ…กับเพศตรงข้าม

ครั้นเมื่อต้องเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจึงต้องแยกสถานที่เรียน ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสแอบดูรุ่นน้องที่ตนหลงรักได้บ่อยๆ

ถึงอย่างนั้นก็ตาม…ด้วยหัวใจเพรียกหา เขาขอร้องให้เพื่อนสนิทกันซึ่งมีนายแห้งด้วย พามานั่งแอบดูตอนแม่สาวเดินกลับบ้าน และต้องเดินผ่านหน้าหอประชุมธรรมศาสตร์แล้วเลี้ยวขวามุ่งหน้าสู่ท่าพระจันทร์เพื่อนั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งธนฯ…โดยหารู้ไม่ว่า ไปขั้วจ๊ะเอ๋คนเดียวกับนายแห้งเข้าจังเบ้อเร่อ

สนามหญ้าของท้องสนามหลวงฝั่งตรงกันข้ามกับหอประชุมธรรมศาสตร์ เป็นฐานเพื่อดักรอแอบดูรุ่นน้องนางนั้น และทุกครั้งเขาจะทำกล้าด้วยการกวาดสายตาสอดส่ายไปทางเส้นทางที่เป้าหมายจะมาอย่างองอาจ แต่…พอเห็นร่างของเธอเดินผ่านพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมาเท่านั้น… หมอก็ร้องลั่นด้วยเสียงกระเส่า!

“เฮ้ย! มาแล้วเว้ย”

ด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ พอนางขยับใกล้บริเวณธรรมศาสตร์เข้ามา มันกลับก้มหน้าไม่ยอมใช้สายตาไปสบสิ่งที่ตนกำลังเฝ้ารออยู่

“พวกเอ็งคอยบรรยายให้กูฟังไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันนะ”

ไหนๆ ก็ตามแห่มาให้กำลังใจเพื่อนกันแบบนี้แล้ว นายแห้งจึงทำหน้าที่เป็นเสมือนผู้พากย์ ด้วยลีลาของโฆษกสนามม้าที่บรรยายการแข่งขัน (นายแห้งเป็นเซียนม้าตัวยง)

“ขณะนี้…นางกำลังจะถึงหอประชุมธรรมศาสตร์แล้ว”

เจ้าคนแอบรักหลับตาใช้จินตนาการไปตามเสียงพากย์ ส่วนมือก็เริ่มถอนหญ้าบริเวณที่ตนนั่งด้วยอาการตื่นเต้น!

“ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จวนจะถึงข้างหน้าพวกเราแล้ว”

มือของเจ้าคนฟัง ก็เร่งถอนหญ้าถี่ขึ้นตามจังหวะหัวใจ…ที่เต้นระทึก

“ผ่านถึงเราพอดีแล้ว”

นายทู่ทอดเสียงหมดเรี่ยวหมดแรง…ราวกับม้าผ่านหลักชัย…แล้วถูกมันกิน

“เป้าหมายเลี้ยวมุมตึกกำลังมุ่งหน้าไปท่าพระจันทร์แล้ว”

สุดเสียงนักพากย์ เจ้าหมอนั่นลืมตาลุกทะลึ่งพรวด ยืนมองตามร่างที่เห็นเพียงด้านหลังเท่านั้นจนลับตา จึงหันกลับมานั่งลงถอนหายใจอย่างคนที่ได้ปลดปล่อยความอัดอั้นออกไปจนหมดสิ้นแล้ว…

กิจกรรมแอบรัก และนักพากย์จำเป็น ทำกันต่อเนื่องตามเวลาตรงสถานที่บริเวณนั้น แต่ต้องขยับขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ เพราะคนรักคุดได้ถอนหญ้าเสียเกลี้ยงเป็นลานกว้าง…

และแล้ว…ในที่สุดกิจกรรมเพื่อความรักชนิดพิสดารนี้ก็ต้องมีอันจบสิ้นลง เมื่อวันหนึ่ง เสียงผู้พากย์พากย์ดังผิดแผกไปกว่าเนื้อหาเดิมๆ และใส่ฟิลลิ่งตามแบบสุดๆ…อย่างจงใจ

“มาแล้วเว้ย!”

“ใกล้เข้ามาแล้ว คราวนี้ไม่ได้มาคนเดียว มีหนุ่มหล่อเดินกะหนุงกะหนิงคลอเคลียมาด้วย”

“มาถึงแล้ว โอ้ย! แม่สาวยิ้มหวานจ๋อยสบสายตาหวานเยิ้มกับไอ้หนุ่มอย่างมีความสุขด้วยซิ”

“หยุด! มึงไม่ต้องพากย์แล้ว กูเห็นตั้งแต่เอ็งบรรยายคำแรกแล้ว” สายตาของจอมรักคุดจ้องมองภาพข้างหน้าที่บาดใจด้วยใบหน้าขมึงตึง กัดฟันกรอดจนฟันปลอมที่ใส่ไว้ซี่หน้าเกือบกระเด็นออกจากปาก

“กลับเว้ย! มึงไม่ต้องมาชวนกูมาที่นี่อีกแล้วนะ”

“หน็อยแน่! ไอ้คนพาล ใครชวนใครกันแน่วะ ดี! จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเล่นรัมมี่ของกู”

“สมน้ำหน้า หมดคู่แข่งไปหนึ่งคน…”

แห้งกล่าวในใจให้กับตัวเอง และฉีกยิ้มอย่างผู้มีชัย เพราะจากข้อมูลที่เขารู้มา ผู้ชายคนนั้นเป็นพี่ชายของนาง กำลังเรียนนักเรียนนายร้อยสามพรานปีสุดท้ายแล้ว

จากนั้นนายแห้งก็ถือโอกาสตามติดแม่ยาหยีราวกับเป็นเงาของเธอ โดยเฉพาะพาเธอไปนั่งกินเหล้าด้วยแถวร้านหน้าพระลาน จนเป็นที่รับรู้กันว่าทั้งสองคนเป็นแฟนกัน

แต่…

ในที่สุด ยาหยีของนายแห้งเริ่มไปไหนมาไหนกับเพื่อนร่วมชั้นและคณะเดียวกับเธอ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่า ไอ้หนุ่มหน้าเข้ม คิ้วดก หนวดเคราครึ้ม เป็นแฟนคนใหม่ของเธอไปเสียแล้ว

จึงไม่ค่อยมีใครเห็นนายแห้งที่มหาวิทยาลัยอีกต่อไป เขาแอบเก็บตัวด้วยความเศร้าเสียใจกับความผิดหวัง และกินเหล้ามากขึ้น จนเพื่อนๆ ต่างเป็นห่วงสุขภาพของมันซึ่งผอมโกงโก้อยู่แล้ว

จู่ๆ วันหนึ่ง แห้งก็มาตามหานายผอมที่มหาวิทยาลัยด้วยสีหน้าที่สดชื่น เหมือนค้นพบความสุขครั้งใหม่ และชวนเขาไปที่บ้านเพื่อดูอะไรบางอย่าง

มันเป็นงานภาพพิมพ์บนกระจก หรือที่เรียกกันว่า Mono Print โดยแห้งเอาหมึกที่แท่นพิมพ์ใช้พิมพ์หนังสือ มาเขียนภาพด้วยพู่กันบนกระจก จากนั้นจะวางกระดาษอาร์ตที่มีหน้าเรียบวางทับบนกระจกแล้วใช้ลูกกลิ้งกลิ้งไปมาด้านหลัง จนแน่ใจว่าแรงกดได้ดูดซับภาพที่เขาเขียนไว้บนกระจกติดบนกระดาษเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงพลิกกระดาษขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง ก็จะได้ภาพตามที่เขียนเป็นแม่แบบไว้บนกระจก ซึ่งดูแปลกตากว่าภาพพิมพ์ที่เกิดจากการแยกสีเป็นสกรีนของแม่พิมพ์ที่ต้องทำถึง 4 ชิ้น หรือ 4 สี

แห้งทำภาพไว้จำนวนมาก ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับนายผอมที่ได้เห็นเทคนิคแปลกใหม่ และไอเดียในการสร้างสรรค์ผลงานของเขาเป็นอย่างมาก

“กูเห็นแบบนี้แล้วหมดห่วง กลัวว่าเอ็งจะอกหักจนเหล้าเอามึงไปกินเสียแล้ว”

“แรกๆ…ก็เอาเรื่องเหมือนกันละเพื่อน แต่กูมาคิดตกแล้วว่า…ไม่มีใครทนแม่ยาหยีไปได้เพราะความไฮเปอร์ของนาง ในที่สุด…เดี๋ยวเอ็งคอยดู มันก็จะต้องกลับมาหากูเอง”

และข่าวที่ขาไพ่ยกย่องว่านายแห้งเป็นนักอ่านไพ่เก่งของยุทธจักรวงรัมมี่ ก็เป็นความจริง เพราะเขาสามารถคาดหวังว่า คงไม่มีใครทนแม่ยอดยาหยีของเขาได้สักราย…ก็เป็นความจริงดังคาด

ไอ้เคราดกได้ทะเลาะกับแม่ยอดยาหยีของนายแห้งอย่างรุนแรง และประกาศแยกทางเดินกันต่อหน้าธารกำนัลที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น…และมัน…ก็แว่วมาเข้าหูนายแห้งผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน…แบบขงเบ้ง (ฮา)

นายแห้งก็ยังเดินแผนเหนือเมฆต่อ เมื่อเขาหันไปเกาะแกะสาวๆ อีกหลายคนเพื่อให้เข้าหูเข้าตายายยาหยี และหล่อนก็ตกเป็นเบี้ยล่างของนายแห้งทันที

เมื่อวันหนึ่ง ยาหยีมาหานายแห้งที่คณะและขอร้องให้เขาไปช่วยแก้งานปั้นที่กำลังจะส่งให้อาจารย์ตรวจ ซึ่งแม้เขาจะทำลีลาแต่ก็ไปกับยาหยี และต่อติดความสัมพันธ์ให้กลับมาเหมือนเดิมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

นายผอมมาหานายแห้งที่บ้านแล้วชวนกันออกไปกินเหล้า เพื่อเป็นการสั่งลา เพราะเขากำลังจะเดินทางไปเรียนต่อที่อิตาลี

“กูไม่อยากชวนเอ็งไปด้วยกัน เพราะรู้ว่าเอ็งกำลังติดสัด คงแยกออกจากแม่ยาหยีของเอ็งไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด” นายผอมเป็นคนเปิดประเด็น

“เอ็งคิดถูก ยายยาหยีมันล็อกกูแน่นหนา เพราะรู้ว่าไม่มีใครทนอยู่กับนางได้เหมือนกู แต่ไม่แน่นะ หลังกูแต่งงานกันแล้ว กูอาจจะตามเอ็งไปก็ได้นะ”

“เฮ้ย! นี่ก้าวหน้าถึงขั้นจะแต่งงานกันแล้วหรือวะ”

“เออว่ะ! กูตกกระไดพลอยโจน สารภาพรักกับนางไปแล้ว”

“เสียดายจัง! กูคงหมดโอกาสได้ไปแสดงความยินดีตอนเอ็งแต่งงานด้วย แต่ขอศึกษาเทคนิคการขอผู้หญิงแต่งงานไว้ประดับสติปัญญาหน่อยเถอะเพื่อน”

“ไม่ยุ่งยากอะไร แต่ต้องเป็นจังหวะมันพาไปเอง เอ็งคงจำได้ พอกูกลับไปคืนดีกับยายยาหยีและนัวเนียกัน อยู่สักพัก วันหนึ่งยายยาหยีมันบอกกูว่า…นายแห้ง เมื่อไหร่จะเลิกเป็นหมาเสียที! เฮ้ย! อันนี้แรงว่ะ กูก็สวนไปด้วยความโกรธ เพราะนางพูดแบบนั้นเป็นการดูถูกกันชัดๆ ถ้าคำตอบของนางไม่เข้าท่า กูเลิกเป็นแฟนด้วยทันที”

“แล้วนางให้เหตุผล ทำไมเปรียบเอ็งเป็นหมา! ล่ะ”

“นางปิดปากแล้วหัวเราะคิก ยิ่งทำให้กูโกรธใหญ่ จึงรวบตัวนางเข้ามาแล้วถามถึงเหตุผล นางก็ตอบหน้ายิ้มระรื่นว่า เพราะกูชอบทำตัวเป็นหมาหยอกไก่ อ้าว! แบบนี้ก็ได้เรื่องละซิ กูก็เลยจูบนางแล้วบอกว่า กูจะเลิกเป็นหมา ถ้าเธอจะแต่งงานกับกู!…แร่ม! ไปเลยไหมเพื่อน”

นายผอมแหกปากหัวเราะผสมไปกับเสียงของนายแห้งเพื่อนรัก และสวมกอดกันกลมเป็นการแสดงความยินดีล่วงหน้า และขอลาไปศึกษาต่อยังประเทศอิตาลีด้วย…