ทวีปที่สาบสูญ : วินาทีที่ฉันตัดสินใจเป็นครั้งที่สอง โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ระริน… ฉันเสียงเพรียก

ความมืดร้องเรียกให้ฉันตามไป

ถึงเวลากลางคืนอีกแล้วสินะ…ฉันล้มตัวลงนอน ท้ายทอยสัมผัสพื้น นอนหงายลืมตาดูฝ้าเพดาน ที่บ้านหลังนี้ช่างดูสะอาดสะอ้านไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งบนฝ้าที่ปูด้วยไม้กระดานเรียงแผ่น แม้ในความสลัวยังดูออกว่าเป็นไม้เนื้อดี เต่าไสจนเกลี้ยง ทาน้ำมันเลื่อมปลาบ

อีกกี่ครั้ง ที่ตัวกูต้องนอนอยู่ในที่แปลกหน้า ใต้ชายคาคนอื่น

เพื่อจะพบโลกหมุนไปเป็นกลางคืน กลางวัน

กลางวัน

กลางคืน

วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นวัฏจักร

ไม่มีอะไรดีขึ้นมา

ไม่มีเลย

สักที


“อ้าว! ลงไปนอนตรงนั้นทำไม”

ประตูห้องเปิด แล้วกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็รวยรินเข้ามา ตามด้วยเสียงใสบอกความประหลาดใจ ยินเสียงหับประตูอีกครั้ง แล้วเด็กสาวก็เข้ามาใกล้

“นี่ ขึ้นไปนอนบนเตียงสิ”

ฉันยันตัวลุก ชินตากับแสงไฟโคมจนทำให้เห็นทุกอย่างชัดเจนดี แม้กระทั่งขนตาที่หนาเป็นแพ กับไฝเม็ดเล็กๆ ใกล้จมูก

เพิ่งเห็นว่า ใบหน้าของเด็กสาวมีจุดตำหนิ แต่กลับทำให้ยิ่งดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก

อยู่ดีๆ อกใจฉันก็ปั่นป่วนขึ้น

“…เอ้อ นอนข้างล่างก็ได้” พูดออกไป

“จะนอนพื้นทำไม เตียงก็มี”

“…ไม่เป็นไร เกรงใจคุณ…คุณจะได้นอนสบาย” ฉันพูดออกไปตามใจนึก

สำหรับคนบ้านนอก เมื่อมีแขกเข้ามาค้างคืนร่วมเรือน หากมีสะลีเพียงผืน เราย่อมจะต้องมอบมันให้กับอาคันตุกะ เพราะจะเป็นเรื่องน่าอับอาย ถ้าปล่อยให้แขกนอนพื้น และเจ้าของบ้านนอนสะลี

แต่ในทางกลับกัน หากเราไปพักอาศัยในบ้านคนอื่น ไม่ควรจะหัวสูงขอนอนบนตั่งเตียงใคร หากเขาไม่ได้จัดที่ให้ ก็ต้องจำกัดตัวเองไว้เพียงพื้นบ้านชานเรือน

“รังเกียจเราหรือยังไง” เด็กสาวยังไม่ยอมเลิกรา

“…มะ ไม่ใช่” รีบปฏิเสธทันที

“…ฉัน…เอ้อ…เรา” ฉันนึกหาคำแทนตัวไม่ถูก สุดท้าย ก็ใช้แบบเดียวกับอีกฝ่าย “เราไม่กล้าทำตัวทัดเทียมคุณหรอก”

“โอ้ย!” เด็กสาวหัวเราะ “อย่ามาลิเกกับชั้นนะ ทัดทงทัดเทียมอะไร ก็คนเหมือนกัน”

ฉันตอบไม่ได้ หาคำแย้งไม่ออกในนาทีนั้น

“ขึ้นเตียงเลย!” เด็กสาวคว้าข้อมือฉัน ออกแรงดึง “เร็ว! เดี๋ยวเสียงดังไป อาเยาว์ได้ยินจะมาเคาะถามหรอก”

ไม่ลุกก็ต้องลุก เด็กสาวยิ้มอย่างพออกพอใจ ชี้มือออกคำสั่งให้ฉันขึ้นไปนอนด้านใน แล้วตัวเองก็ตามขึ้นมา

 

ไฟโคมดับลง แต่ยังหลงเหลือแสงที่สอดส่องจากภายนอกเลือนราง รู้สึกประหม่าอย่างไรก็บอกไม่ถูก แม้บนร่างกายจะสัมผัสได้ถึงเส้นใยอ่อนนุ่มของเนื้อผ้า…ช่างเป็นวาสนา ได้มานอนบนฟูกสะอาดสะอ้าน หน้าต่างเปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ปล่อยลมกลางคืนแผ่วผ่านเข้ามา หอมกลิ่นดอกมะลิลอยน้ำ กับความหอมนวลๆ จากคนข้างตัวอีก

วางแขนลงแนบที่นอน พยายามนอนนิ่งไม่ไหวติง เมื่อเข้าอาบน้ำ ฉันพยายามสระผมและฟอกตัวให้สะอาดที่สุด ทั้งหาวิธีขัดถูเล็บมือเล็บเท้า เห็นแก่เสื้อผ้าใหม่ที่นางฟ้าระรินจัดให้

…เทพธิดา…นางฟ้าระริน ฉันอยากจะเรียกเธอเช่นนั้น แม้จะเคยมีคนดีกับฉัน แต่ก็ไม่เคยมีใครนุ่มนวลและใจดีได้เท่านี้มาก่อน

ฉันรู้ตัวดี มอมแมมสิ้นไร้สง่าราศี เป็นดั่งหมาหลงข้างถนนตัวหนึ่งด้วยซ้ำ หากเธอก็เอื้ออารี มีแก่ใจช่วยเป็นธุระปะปัง

สักน้อยหนึ่งไม่เคยแสดงความรังเกียจออกมา

อะไรสักอย่างเอ่อท้นขึ้นมาในอก ฉันเคยคิดว่าตัวเองมีคนที่รักอยู่ในใจ แต่ก็ไม่เคย…จะรู้สึกสั่นสะเทือนฉับพลันทันใดเท่าในครั้งนี้

“หลับหรือยัง”

กำลังจะพลิกตัวตะแคงไปทางข้างฝา ก็ยินเสียงถามขึ้นมา

“…เอ้อ ยังค่ะ”

“งั้นก็หันมาหน่อยสิ…ไหน เล่าให้เราฟังหน่อย เธอไปยังไงมายังไงถึงได้มาหางานทำถึงนี่ ไม่ต้องไปโรงเรียนหรือ”

“…ไม่ได้เรียนหนังสือ” ฉันตอบออกไปเพียงแผ่ว “ที่บ้านไม่มีสตางค์”

“จริงหรือ!” ระรินทำเสียงเหมือนแปลกใจมาก

“แล้วพ่อแม่ไม่ว่าหรือ”

“จะว่ายังไงล่ะ” ฉันตอบอีก “เขาก็อยากให้เรียน แต่มันเป็นไปไม่ได้…มาหางานทำน่ะดีที่สุดแล้ว”

ใจอยากจะพูดต่อว่า ที่บ้านเองก็ไม่มีใครอยากให้ฉันอยู่ สิ่งสุดท้ายที่ยังฝังใจคือคำพูดของแม่

ใช่…คำพูดในวันนั้น

วันแรกของการเริ่มต้นพเนจร


“ทําอะไรซุ่มมืดตรงนี้”

วันนั้น ที่ฉันนั่งห้อยขาบนแคร่ใต้ถุน แม่ขยับเข้ามายืนเยื้องอยู่ จุดสีแดงเกิดขึ้นวาบๆ มูลีมวนใหญ่ให้กลิ่นและควันฉุนแรง

“ดูน้ำ”

“เห็นอะไรรึ มีแต่มืด…แล้วนี่ออกบ้านเขามา มีอะไรติดตัวมาบ้าง”

หัวใจฉันเจ็บเหมือนเข็มแทง มองไปให้ไกลที่สุด ยังความมืดที่สลัวเลือนราง เรามีไฟฟ้าใช้กันแล้ว แต่ฉันตั้งใจให้ใต้ถุนมืดอยู่ แม่เองก็ไม่เปิดไฟ

“ก็บอกแล้ว! มีอยู่สามร้อย”

แม่เงียบไป ยิ่งนาน ฉันก็รู้สึกถึงเข็มปักลึกเข้าเรื่อยๆ

“แต่แม่ไม่ต้องห่วงหรอก แค่อยากมาเยี่ยมบ้าน เดี๋ยวก็ไปแล้ว”

“จะไปไหนล่ะ” เสียงแม่ฟังเยาะหยัน

“ข่าวว่าจะมีเขื่อน”

บุหรี่ยังส่งสีแดงวาบ และให้กลิ่นฉุนไม่ขาดสาย

“จะรับจ้างเอางานก็ได้อยู่มั้ง พ่อหลวงว่าใครอยากทำก็ไปลงชื่อไว้”

“เขาทำอะไรกันหรือที่เขื่อน” ฉันถามไปส่งๆ

เข็มคมยังปักลึกลง ลึกลง ทุกที

“คงรับหลายอย่างละ หมู่ผู้หญิงเป็นคนเก็บหินเก็บดินก็ได้ เห็นพ่อแก่พ่อแคว่นเขาว่ากัน ได้เป็นรายวันยังดีกว่าอยู่ว่างๆ”

“ฉันไม่ได้ว่างหรอก” เหลียวหน้า สบตากับแม่จังๆ และยังเห็นแววตากันชัดแม้จะมืดแค่ไหน “บอกแล้วว่าแค่มาชั่วคราว มีงานที่ติดต่อไว้แล้ว”

“โฟมันบอกว่า…”

“บอกว่าอะไร!”

“…ช่างมันเหอะ ไปตกเคราะห์ตกขึดมา ถ้ายังไม่ไปง่าย จะให้พ่อทำสะตวงส่งให้”

คำนั้นไง ไปตกเคราะห์ตกขึดมา คำพิพากษา ที่แม้แต่แม่ก็พูดมันออกมา ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ

“เขาว่ามึงเป็นตัวขึด” คำที่มีคนว่าใส่หน้า

พ่อน้อยมี กับแม่วรรณา

อีกวันที่ฝนตกกระหน่ำ หยดน้ำบนใบหน้า

“ชาวบ้านเขาว่ามึงเป็นตัวกาลี ว่าข้านี้เอาตัวขึดเข้ามาที่นี่”

“เราอยู่กันมานานไม่เคยมีเรื่องเดือดร้อนอะไร”

“ข้าบอกหมู่เขาแล้วว่า เราเพิ่งมาปะกันวันก่อนนี้ ข้าช่วยมึงมาจากโรงงานนรกนั่น…แต่เขาว่า ร้อยวันพันปีอีจูก็ไม่มา พอมึงมา มันก็มา แล้วพี่ตัวมันก็ยังตายเพราะมึง อีพี่…”

…รอยเลือดที่แปดเปื้อนสมุดบันทึกของฉัน เสียงโหยหวนของความเจ็บปวดเหล่านั้น

กี่ครั้งกัน ที่ฉันพยายามทำดีที่สุด

พยายามที่สุดแล้วเสมอมา

 

“เธอ…!”

เสียงเรียก พร้อมกับมือหนึ่งวักไหล่ฉันให้หันไปหา

“ละเมอหรือยังไง”

ดวงตานางฟ้าจ้องมองฉันอยู่ อีกแล้ว อีกหน ที่น้ำตาของฉันพรั่งพรู

“…เป็นอะไร!”

“ไม่เป็นไร…” ฉันพยายามพูดให้เป็นปกติ แต่มันคงตะกุกตะกักเพราะอื้ออึงไปหมดข้างใน

จริงๆ แล้ว กูไม่มีหนทางจะก้าวหน้าไปไหน แค่โผจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง เพราะกูจำเป็นต้องไป อยู่กับใคร ถ้าไม่ทำให้เขาเดือดร้อน ก็ทำตัวเองเดือดร้อน คอยแต่จะร่วงตกนรกหมกไหม้

อย่างที่ลักหนีจากพี่โฟมานี้

ป่านนี้ ทุกคนจะสาปแช่งอีกสักเพียงใด

คนอย่างกูจะฝันจะหวังอะไร

แม้แต่การมีชีวิต

มีไปเพื่อ…

 

“…เธอ…”

เสียงเรียกยังดังใกล้หูอยู่อีก ขณะที่เส้นเชือกแกว่งไกวผ่านมาในห้วงสำนึก ดูเอาเถอะ คนโง่งมอับจนปัญญา ชั้นจะแขวนคอตายก็ยังเคยทำไม่สำเร็จ

…แต่ตอนนี้ฉันได้พบนางฟ้า

อาจเป็นเธอก็ได้ ที่จะได้ช่วยฉัน

“พี่…”

แล้วฉันก็ตัดสินใจ

“อะไร”

“เรามีใบแดงติดตัวอยู่…มัดไว้ในกระเป๋ากางเกงนั่น” ชี้มือไปทางกองผ้าที่ถอดพับไว้ “พี่ช่วยใส่ซองส่งจดหมายให้เราหน่อยได้มั้ย”

“ส่งไปไหน”

“ไปที่บ้าน” อกฉันสั่นสะท้าน เมื่อระลึกถึงชื่อและสกุลของแม่ “เดี๋ยวจะเขียนเลขที่ไว้ให้”

“…แล้วทำไมไม่ส่งเอง”

ฉันมองหน้านางฟ้าแสนสวย ตั้งใจจะจดจำเอาไว้ตลอดไป

“พรุ่งนี้จะไปแต่เช้า จะไม่ทำให้พี่เดือดร้อนหรอกนะ จะหาทางไปเอง”

“…ไปไหน”

ฉันหลับตาลง และไขว้แขนไว้ข้างหน้า

“จะไปเอง” ฉันพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก “เรามีที่จะไปแล้ว จะต้องไปให้ได้แล้วล่ะ…พี่…จับมือเราหน่อยซี พี่เป็นคนดีที่สุดเลยรู้มั้ย พี่เป็นนางฟ้าของเรานะ”

นางฟ้าระรินผลักฉันออกห่าง เพื่อมองจ้องเข้ามา ดวงตาของนางฟ้าแม้เต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็บรรจุเอาไว้ซึ่งความเวทนาปรานี มันเป็นวินาทีที่ฉันตัดสินใจเป็นครั้งที่สอง ในบัดนั้น ว่าฉันไม่เหมาะแล้วจริงๆ กับโลกใบนี้ และการได้พบคนคนนี้ คือสิ่งที่สวยงามที่สุดแล้ว