ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 13 - 19 ตุลาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | โลกทรรศน์ |
ผู้เขียน | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ |
เผยแพร่ |
โลกทรรศน์ | อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กับความมั่นคงภูมิภาค
จากรายงาน Intergovernmental Panel on Climate Change เน้นเหตุการณ์ต่างๆ ที่สภาพอากาศสุดขั้วนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางทหารและการเพิ่มขึ้นของการย้ายถิ่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเห็นชัดคือ ภัยคุกคาม
รายงานยังบอกว่า ทหารช่วยพัฒนาความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและช่วยเหลือด้านภัยพิบัติ (Humanitarian assistance and Disaster relief-HADR)1 ในขณะที่ทหารยังคงรักษาความสามารถป้องกันประเทศดั้งเดิม (Traditional Defence) ได้ต่อไป2
อย่างไรก็ตาม ภาพกว้างอันแรก ประเด็นความมั่นคงภูมิภาคดูเหมือนห่างไกลจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางการทูตและอำนาจทางการทหาร แล้วมักมีแนวคิดคล้ายๆ กันคือ เพื่อให้แต่ละประเทศแน่ใจว่า ดุลอำนาจ (balance of power) ในภูมิภาคของตนไม่ถูกรบกวน ความมั่นคงในภูมิภาคตามแนวคิดนี้ เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่อนุญาตให้ประเทศต่างๆ มุ่งด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยขยายการค้าและการลงทุน เพื่อการเติบโตรวดเร็วขึ้น
อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ล้าสมัยไปแล้ว
มองภูมิภาคในมุมมองใหม่
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ผู้เขียนหมายถึง Climate Change อันเป็นประเด็นระดับโลกที่กำลังถกเถียงกันในกลุ่มผู้นำนโยบายระดับสูงในทุกประเทศเวลานี้ ในมุมมองใหม่ เราจะเห็นได้ว่าเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งต่อความมั่นคงในมิติต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ด้วยภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีจุดขัดแย้งร่วมกันหลายจุด
ที่เกาหลีเหนือ ไต้หวัน และเกาะเซนกากุ (Senkaku) หรือบางประเทศเรียกว่า เตียวหยู (Diaoyu) แม้ว่าตอนนี้มองกันว่าปัญหานี้จัดการได้และสภาพแวดล้อมโดยรวมยังมั่นคง แต่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ไม่กี่ปีมานี้เกิดจากการทะยานขึ้นของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ด้วยการทะยานขึ้นทางเศรษฐกิจของจีนและจีนประกาศเป้าหมายท้าทายสหรัฐอเมริกาทั้งทางทหารและทางเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นทิศทางใหม่เพิ่มความตึงเครียดในหลายๆ ด้าน องค์การสหประชาชาติได้ประมาณการว่า โลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเกือบ 2.5 องศาเซลเซียสในปี ค.ศ.2100 ผลกระทบร้ายแรงของสภาวะโลกร้อน (Global warming) ด้วยอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นจะลดผลิตภาพ (productivity) ของมวลมนุษย์และที่ดิน เสี่ยงอันตรายต่อการผลิตอาหารในหลายๆ ประเทศ
ปริมาณฝนตกผันแปรและเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วเกิดบ่อยครั้งขึ้น จะสร้างความเจ็บปวดและเกิดการทำลายรุนแรง การตอบสนองเหตุการณ์เหล่านี้จะซึมเข้าสู่ ทรัพยากร ทำให้การเพิ่มผลิตภาพต้องใช้เวลายาวนานขึ้น การหลอมละลายน้ำแข็งขั้วโลกเร่งตัวเร็วขึ้น และธารน้ำแข็งหิมาลัย (Himalayan) จะเพิ่มระดับน้ำทะเลในโลกประมาณ 0.44-0.76 เมตรในปี ค.ศ.2100 มีนักวิทยาศาสตร์เตือนว่าการเพิ่มระดับน้ำทะเลอาจมากกว่าการคาดการณ์
ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นสามารถเห็นรัฐเกาะ (Island State) เล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียเกือบทั้งหมดจมใต้น้ำในปี ค.ศ.2100 สาธารณรัฐคิริบาส (Republic of Kiribati) มีความเปราะบางเพราะมีสภาพเกาะอยู่ต่ำกว่า 2.5 เมตรระดับเหนือทะเล มัลดีฟส์ (Maldives) ก็มีสภาพเหมือนกัน
ในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้จะไม่มีการโยกย้ายประชากรออกไป แม้ว่าสาธารณรัฐคิริบาสและมัลดีฟส์มีประชากรน้อย คือ 117,000 คน และ 500,000 คน ตามลำดับ
แต่คาดว่าไม่มีประเทศไหนยินดีต้อนรับคนอพยพจากประเทศเหล่านี้
สู่น้ำท่วม
ทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกไม่ได้เผชิญหน้าภัยคุกคามจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเหมือนกัน
แต่หลายๆ ประเทศจะประสบภัยกับน้ำท่วมรุนแรง เช่น กรุงเทพฯ จาการ์ตา โฮจิมินห์ บริเวณ Sundarban ในบังกลาเทศ และสามเหลี่ยมแม่น้ำ Pearl ในจีนล้วนเป็นบริเวณที่อ่อนแอง่ายต่อน้ำท่วมรุนแรง
การย้ายถิ่นอย่างสำคัญจากบริเวณเหล่านี้อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้
การย้ายถิ่นคาดว่าเป็นการย้ายถิ่นภายใน (domestic migration) มีต้นทุนสูงและนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองภายในได้ ถ้าไม่จัดการให้ดี
แล้วยังเกิดการย้ายถิ่นข้ามพรมแดน (cross border migration) ง่ายๆ จะขยายปัญหาความมั่นคงในภูมิภาคได้
ความขัดแย้งดินแดน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถขยายความขัดแย้งดินแดนได้ จีนวางแนวทางอ้างพื้นที่กว้างในทะเลจีนใต้ ในรูปแบบเส้นเถ้า 9 เถ้า (nine-dash line)
การอ้างของจีนนี้ได้ถูกประท้วงจากมาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
ฟิลิปปินส์ได้ยื่นฟ้องเรื่องความขัดแย้งนี้สู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
แต่จีนทำการปฏิเสธฝ่ายเดียว (unilaterally) การตรวจสอบของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
มีการคาดการณ์ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังสร้างความขัดแย้งใหม่ ถ้าอุณหภูมิทะเลสูงขึ้น จะทำให้ประชากรปลาเคลื่อนย้ายไปบริเวณที่จีนอ้างเป็นของจีนในเส้นเถ้า 9 เถ้า
หากจีนปฏิเสธไม่ให้ชาวประมงเข้าไปจับปลาในเขตที่ตนอ้าง มันเป็นการคุกคามการดำรงชีวิตของผู้คน
และนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศได้
สงครามแย่งน้ำ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสร้างความขัดแย้งใหม่ การแข่งขันแย่งชิงน้ำ ได้แก่ แม่น้ำโขงที่เริ่มต้นที่ทิเบต มีแม่น้ำยาว 4,700 กิโลเมตรลงสู่ทะเลผ่านจีน เมียนมา ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม มี 4 ประเทศหลังได้ก่อตั้ง the Mekong River Commission-MRC ปี ค.ศ.1995 ไว้เป็นระบบการจัดการน้ำร่วมกัน
แต่จีนไม่ได้เป็นสมาชิก MRC และจีนควบคุมต้นน้ำ (upstream)
ในปี ค.ศ.2019 ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลงในระดับต่ำสุดในรอบ 100 ปี ระดับน้ำที่ลดลงมากอาจเกิดจากปัจจัยสภาพแวดล้อมธรรมชาติ เช่น ปริมาณฝนน้อยลง และธารน้ำแข็งหิมาลัยละลาย แต่มีความกังวลที่แสดงออกมา ระดับน้ำน้อยลงเกิดจากการสร้างเขื่อนต้นน้ำเพื่อนำน้ำไปใช้ในจีน
การผันน้ำในแม่น้ำโขงสามารถสร้างปัญหามากขึ้น ถ้าการขาดน้ำเสียหายมาก
ความกังวลคล้ายกันมาจากอินเดียเมื่อจีนรายงานแผนผันน้ำจาก Tsang Po River ให้ไหลทางทิศตะวันออกผ่านทิเบตเข้าไปในจีน ทำให้น้ำในแม่น้ำพรหมบุตร (Brahmaputra) ตอนเข้าไปทางอินเดียลดลง
กฎหมายระหว่างประเทศมีเพียงแนวทางทั่วไปแก่ประเทศต่างๆ ในการใช้น้ำ มีเกณฑ์อย่างเป็นธรรม แต่อะไรคือเป็นธรรม ยังไม่ได้นิยาม แต่กฎหมายมีข้อตกลงการใช้อย่างเคร่งครัด
ดังนั้น การยังไม่มีข้อตกลงใดๆ เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้เกิดการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง เกิดความแห้งแล้ง ดูเหมือนว่ามันยังเหมือนอะไรร่วมแฟร์กันในเวลาตกลงกัน อาจไม่แฟร์ในช่วงการคาดแคลนน้ำมากก็ได้
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคาดว่าเข้าไปเพิ่มเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ได้แก่ พายุไซโคลน (cyclone) หรือคลื่นยักษ์สึนามิ (tsunami) อันกระตุ้นให้มีการเร่งจัดตั้งความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างกองทัพเรือของชาติต่างๆ และกำลังความมั่นคงอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อช่วยประชาชนในยามที่เกิดภัยพิบัติจากพายุหรือคลื่นยักษ์
แต่ประเทศเล็กๆ ก็ไม่มีทรัพยากรและ supply มากพอ หรือแม้แต่การฝึกซ้อมบุคลากรให้จัดการภัยพิบัติที่คาดไม่ถึงและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
มีข้อเสนอว่า ความจริงแล้ว ความมั่นคงภูมิภาคเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องการหน่วยงานหรือองค์กรมากมาย นับเป็นโรงงานผลิตการตัดสินใจเรื่องความมั่นคงมากกว่าในอดีตเลยทีเดียว
กล่าวคือ ควรมีหลากหลายองค์กรและหน่วยงาน ทั้งทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม และการทหาร หลากหลายพื้นที่ทั้งภาคพื้นสมุทร ภาคพื้นดิน แม่น้ำ ภูเขาสูง ป่าไม้ ชนบท เมือง องค์กรปกครองระดับท้องถิ่น เมือง ประเทศ ภูมิภาคและนานาชาติ หลากหลายผู้มีส่วนได้เสียทั้งประชาชน เจ้าของกิจการ บรรษัท รัฐบาลทุกระดับ
ทั้งนี้ เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความสำคัญยิ่งยวด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้มีผลกระทบแค่ทางเศรษฐกิจเพียงประการเดียว แต่เพราะกระทบต่อความมั่นคงในภูมิภาคอีกด้วย
ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะนี้อินเดียและเวียดนามประกาศงดส่งข้าวออก
อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา บราซิลงดส่งออกไม้
หลายประเทศเริ่มกักตุนเมล็ดพันธุ์กาแฟ ธัญพืช จีน ออสเตรเลียงดส่งออกข้าวสาลี
แน่นอนบางส่วนมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่สงครามไม่ได้เป็นภัยคุกคามดั้งเดิมมากเท่าภัยคุกคามแบบใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกแล้ว
น่าห่วงมากข้อตกลงที่เปราะบางหาแก่นสารไม่ได้เรื่อง Climate Action ยังค้างคา รอเราทุกคนอยู่ที่การประชุมองค์การสหประชาชาติว่าด้วย Climate Change ที่จะมาถึงคือ COP 28
‘โลกร้อน’ คำที่เรียกง่าย ที่ไม่มีใครจัดการและควบคุมได้ รัฐบาลเศรษฐีของไทยเตรียมอะไรไว้บ้าง ตอบด้วย
1 Bhubhindar Singht and See Seng Tan eds. From ‘Boots’ to ‘Brogues’ : The Rise of Defence Diplomacy in Southeast Asia, The Rajaratnam School of International Studies, Singapore, 2011.
2 S. Nanthi, “Defence Diplomacy as a tool to cope with the climate crisis” East Asia Forum, 31 March 2022, : 1-2.
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022