ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 29 กันยายน - 5 ตุลาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | ปริศนาโบราณคดี |
เผยแพร่ |
สามปีก่อนดิฉันเคยนำเสนอบทความเรื่องร่องรอยของศิลปะจาม (แห่งอาณาจักรโบราณจามปา ในเวียดนาม) ที่ปรากฏในพิพิธภัณฑ์วัดเขาวงพระจันทร์ อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี ให้ทุกท่านทราบไปแล้ว อันเป็นคอลเล็กชั่นสะสมโบราณวัตถุของ “หลวงปู่ฟัก ภทฺทจารี” ผู้ล่วงลับ
โดยที่ไม่มีใครทราบว่าหลวงปู่ได้โบราณวัตถุแปลกประหลาดกลุ่มนี้มาจากไหน เมื่อไหร่ อย่างไร เนื่องจากไม่มีใครทันได้สัมภาษณ์
หากเป็นศิลปะขอม ก็ยังพอทำเนา ชวนให้เชื่อได้ว่าโบราณวัตถุเหล่านี้ น่าจะขุดพบจริงในแหล่งรายรอบเขาวงพระจันทร์ ไม่จำเป็นต้องมีใครนำมาถวายวัดภายหลัง เหตุที่ละโว้มีความผูกพันกับศิลปะขอมมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
แต่นี่กลับเป็นศิลปะจาม! ซึ่งในสายตาของเรา มักมองว่าจามอยู่ไกลมากถึงเวียดนาม ศิลปะของชนชาตินี้เข้ามาในดินแดนละโว้เมื่อพันปีก่อนได้อย่างไร เข้ามาสายตรง หรือต้องผ่านขอมก่อน?
ความงุนงงนั้น ไม่ต่างไปจากการที่ดิฉันได้พบร่องรอยของศิลปะจามในนครหริภุญไชยอีกครั้ง นั่นคือ ประติมากรรมดินเผาแบบกดแม่พิมพ์สองชิ้น ซึ่งมีรูปแบบศิลปะที่ละม้ายไปทางจามปาอย่างชัดเจน
ชิ้นแรกเป็นสมบัติส่วนบุคคล เจ้าของคือ “อาจารย์สำราญ กาญจนคูหา” ท่านผู้นี้เป็นปราชญ์สำคัญคนหนึ่งของลำพูน เก็บสะสมโบราณวัตถุรุ่นเก่าของหริภุญไชยหลายชิ้น แต่ปัจจุบันสุขภาพไม่ดีและมีอายุมากกว่า 90 ปีแล้ว ได้มีผู้นำภาพวัตถุของท่านโพสต์ลงในเฟซบุ๊กนานหลายปี
ส่วนอีกชิ้นหนึ่ง นายนับเก้า เกียรติฉวีพรรณ นักศึกษาปี 4 ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ไปขอถ่ายรูปมาจาก วัดพระเจ้าเหลื้อม ต.หนองตอง อ.หางดง จ.เชียงใหม่
หรือจุดที่เคยเป็นศูนย์กลางของเมืองบริวารแห่งหนึ่งของรัฐหริภุญไชยชื่อ “เวียงมโน” นั่นเอง

พระโพธิสัตว์หรือเทวดา?
เมื่อดิฉันได้เห็นภาพวัตถุชิ้นแรกของอาจารย์สำราญ กาญจนคูหา จากเฟซบุ๊กนั้น ก็ยังเอะใจแค่ในส่วนของ “ประภามณฑลฉากหลังรายรอบพระเศียรของรูปปั้น” ว่าทำไมจึงมีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับประติมากรรมหินขนาดใหญ่ในเวียดนาม พบที่เมืองกวางนาม กลุ่มที่เรียกว่า “ศิลปะดงเดือง” ของรัฐจามปา มีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 (พ.ศ.1400-1500)
ตอนแรกไม่ค่อยได้สนใจรายละเอียดอื่นๆ พวกเครื่องทรง ท่านั่ง อาวุธในมือ เพราะลำพังแค่ประภามณฑลเปลวไฟอันอลังการสุดจะพรรณนานั้น ก็ชวนให้นึกถึงศัพท์เฉพาะคำหนึ่งที่ ศ.ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ เคยกล่าวไว้ตอนสอนวิชา “ศิลปะจาม” ให้แก่ดิฉันเมื่อครั้งเรียนปี 3 คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อปี 2526 ว่า
“อัตลักษณ์เด่นของศิลปะจามปาที่ตกทอดกันมายาวนานคือ ลายเส้นยึกยือ ยืดยาว หนา นูน หงิกงอ จำให้ง่ายๆ ก็คือคล้าย ‘ลายเส้นขนมจีน’ นั่นแหละ”
ดิฉันจึงพุ่งเป้าไปมองแค่ประภามณฑลเปลวไฟรายรอบพระเศียรของดินเผาชิ้นนั้นว่า อ้อ! มีลักษณะคล้ายเส้นขนมจีน เหมือนกับในจามปาเลย แล้วก็ได้แต่เก็บงำปริศนานี้ไว้คนเดียว ด้วยยังมิรู้ว่าจะเชื่อมโยงเรื่องราวสองวัตถุสองอาณาจักรเข้าหากันได้อย่างไร
จนกระทั่ง ดิฉันได้เป็นที่ปรึกษาและวิทยากรให้กับเทศบาลตำบลหนองตองพัฒนา จัดกิจกรรมเสวนาชำระประวัติศาสตร์และสำรวจ “เวียงมโน” กันอีกรอบเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยขอใช้สถานที่วัดพระเจ้าเหลื้อมเป็นจุดบรรยายให้ความรู้
ช่วงนั้นนั่นเองที่ท่านเจ้าอาวาสวัดพระเจ้าเหลื้อม ได้กรุณานำเอาโบราณวัตถุอันซีนสมัยหริภุญไชยที่เก็บรักษาในกุฏิ ไม่เคยเปิดเผยออกมาจัดแสดงให้เห็น ซึ่งทุกชิ้นขุดได้จากในพื้นที่ใกล้วัดพระเจ้าเหลื้อม
เมื่อเจอวัตถุดินเผาที่เกิดขึ้นจากการกดบล็อกแม่พิมพ์อีกเป็นชิ้นที่สอง ทำให้ดิฉันต้องนำภาพที่เคยเห็นชิ้นแรกจากเฟซบุ๊กที่ระบุว่าเป็นของ อ.สำราญ กาญจนคูหา ออกมาเปรียบเทียบกันอีกครั้ง
พบว่าเป็นการกดบล็อกจากแม่พิมพ์เดียวกัน จุดตำหนิก็เป็นจุดเดียวกัน แสดงว่าน่าจะทำขึ้น ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งเพียงแห่งเดียวในละแวกสองฟากแม่ระมิงค์ ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าแหล่งผลิตควรตั้งอยู่ในฝั่งลำพูนหรือเชียงใหม่?
ทั้งยังไม่มีชื่อเรียกสำหรับประติมากรรมดินเผาที่กดจากแม่พิมพ์ชิ้นนี้ ผิดกับอีกพิมพ์ทรงที่ชาวลำพูนรู้จักกันอย่างกว้างขวางคือ “พระสิกขี” (ประติมากรรมสตรีคล้ายกินรียกมือสองข้างระดับอก)
เมื่อลองโยนก้อนหินถามคนในพื้นที่ทั้งฝ่ายเชียงใหม่ ลำพูน ว่าเคยพบวัตถุรูปแบบนี้กันบ้างไหม
หลายท่านบอกว่าเคยเห็นที่กรุวัดมหาวัน กับวัดกู่ละมัก รวมทั้งสันป่ายางหลวง ชาวลำพูนไม่ทราบจะเรียกว่าอะไรดี บ้างจึงเรียก “แม่อุมา” บ้างเรียก “แม่ลักษมี” บ้างเรียก “แม่จามเทวี”
การเพ่งเป้าไปเรียกชื่อประติมากรรมนี้ให้เป็น “เทวสตรี” เข้าใจว่าในสายตาคนทั่วไปมองว่า ช่วงพระอุระ (อก) ของประติมากรรมชิ้นนี้ค่อนข้างนูนมากคล้ายผู้หญิง แต่จะเป็นเทวสตรีจริงหรือไม่ มาช่วยกันวิเคราะห์ประเด็นนี้ต่อในฉบับหน้า
น่าเสียดายที่เราไม่มีข้อมูลมากไปกว่านั้นเลย ว่านอกจากสององค์นี้แล้ว ดินเผารูปประภามณฑลเปลวไฟคล้ายเส้นขนมจีนเช่นนี้ ยังหลงเหลือองค์เป็นๆ อยู่ที่ไหนอีกบ้าง โดยเฉพาะหากเราสามารถทราบถึงแหล่งต้นตอที่ผลิตประติมากรรมชิ้นนี้ ก็จะยิ่งช่วยเติมเต็มข้อมูลอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ของประวัติศาสตร์หริภุญไชย
สิ่งที่เราทำได้ในขณะนี้ คือการศึกษาเปรียบเทียบเชิงประวัติศาสตร์ศิลปะ ระหว่างดินเผาหริภุญไชยกับประติมากรรมศิลปะจามยุคคงเดือง (Dong Duong) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เหตุที่ประติมากรรมของเขาที่ว่าคล้ายของเรามากที่สุดแล้ว ยังแยกได้ออกเป็นสองรูปแบบอีก คือพระโพธิสัตว์ กับเทวดา

พระโพธิสัตว์
ขาซ้ายเข่าชัน + แขนขวายันพื้นหลัง
ดินเผาสองชิ้นจอมปริศนาของหริภุญไชยมีลักษณะแปลกมาก คือไปรวบเอาท่านั่งและการถือสัญลักษณ์ของประติมากรรมดงเดือง 2 ประเภทมารวมไว้ด้วยกัน ได้แก่
แบบแรกคือ พระโพธิสัตว์ นั่งท่า “มหาราชลีลา” ด้วยการชันเข่าซ้าย เอามือวางบนเข่า ส่วนมือขวานั่งยันพื้นหลังไว้ ไม่มีการถือสิ่งของใดๆ รูปแบบนี้คล้ายกับดินเผาที่พบในหริภุญไชยคือ ทำท่ามหาราชลีลาด้วยเข่าซ้าย (ผู้มองจะเห็นเป็นเข่าขวา) แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ มือขวาของดินเผาลำพูนกลับไม่ยันพื้นหลัง เพราะถือสิ่งของบางอย่างแทน
งาน Masterpieces สองชิ้นที่เป็นรูปพระโพธิสัตว์ของศิลปะจามสมัยดงเดือง พบที่ปราสาทดงเดือง แคว้นกวางนาม ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดี-สถาปนิกชาวฝรั่งเศสยุคล่าอาณานิคม นาม อองรี ปาร์มองติเยร์ (Henri Parmentier) ท่านผู้นี้เองที่กำหนดให้เรียกประติมากรรมรูปแบบนี้ว่า “พระโพธิสัตว์” โดยไม่ระบุว่า เป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือพระโพธิสัตว์องค์ใด เนื่องจากปามองติเยร์เองก็ยอมรับสัญลักษณ์บนมวยผมของรูปเคารพนี้ไม่ชัดเจน
คือปกติหากเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร มักแสดงออกด้วยรูปพระอมิตาภะนั่งสมาธิเพชรบนมวยผม ในขณะที่นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสร่วมของสมัยอีกท่านคือ ศ.ดร.ฌ็อง บัวเซอร์ลีเยร์ (Jean Boisselier) ที่ชาวไทยรู้จักกันดี กำหนดเรียกพระโพธิสัตว์รูปแบบนี้ว่า พระอักโษภยะ ให้เฉพาะเจาะจงลงอีกนิด แต่ไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าทำไมพระอักโษภยะกลุ่มนี้จึงไม่ทำปางมารวิชัย อาจารย์บ๊วซมองแค่ว่า ทิศที่พบรูปเคารพกลุ่มนี้นั้น เป็นทิศที่พระอักโษภยะประทับอยู่ คือทิศตะวันออก
หากเราจะสรุปชื่อเรียก ขอยึดแบบกลางๆ ไว้ก่อนว่าเป็น “พระโพธิสัตว์” ด้วยเหตุที่มีประภามณฑลรายล้อมพระวรกาย จึงไม่ใช่เทวดาทั่วไป พระโพธิสัตว์จากดงเดืองมีสององค์ ปัจจุบันองค์หนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ดานัง ประเทศเวียดนาม องค์นี้ประภามณฑลสมบูรณ์ อีกองค์อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Rietberg กรุงซูริก สมาพันธรัฐสวิส
นอกจากนี้แล้ว ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์กรุงฮานอย ที่เวียดนามตอนเหนือ ซึ่งใม่ใช่เขตของอาณาจักรจามปา ยังจัดแสดงวัตถุชิ้นสำคัญ ที่มีเฉพาะพระเศียรขนาดมหึมา แบกรับประภามณฑลเปลวไฟลายเส้นขนมจีนไว้ด้วยอย่างโดดเด่น น่าเสียดายที่พระวรกายหายไป
แม้ป้ายคำบรรยายที่พิพิธภัณฑ์ฮานอยเขียนว่า พระโพธิสัตว์ ทว่าภัณฑารักษ์ชาวเวียดนามซึ่งประจำอยู่ที่นั่น เรียกรูปเคารพนี้ว่า “ลาฮัน” (La Han) แผลงมาจาก “อรหันต์” โดยมีความหมายที่แตกต่างจากพระโพธิสัตว์

เทวดา
ขาขวามหาราชลีลา + มือซ้ายถือวัตถุ
มาดูต้นแบบอีกประเภทที่ดูคล้ายกับดินเผาสองชิ้นของหริภุญไชยในอีกแง่หนึ่ง นั่งคือประติมากรรมหินขนาดใหญ่จากปราสาทดงเดืองเช่นเดียวกัน และสถานที่จัดแสดงก็กระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั้งสามแห่ง คือมีทั้งในพิพิธภัณฑ์เมืองดานัง ฮานอย และที่ซูริก
ประติมากรรมกลุ่มนี้ไม่เรียกว่า “พระโพธิสัตว์” เหมือนกลุ่มแรก เหตุที่ไม่มีประภามณฑลรายรอบพระเศียรซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงบุคคลศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าการตกแต่งพระเศียรจะมีลักษณะอลังการคล้ายกับพระโพธิสัตว์กลุ่มแรกอยู่บ้าง นั่นคือการประดับด้วยกรวยดอกไม้สามกลุ่มในกรอบพุ่มข้าวบิณฑ์ กลาง ซ้าย ขวา บนแผ่นคาด
เมื่อไม่มีรัศมีประภามณฑล นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสเมื่อแรกค้นพบจึงกำหนดชื่อเรียกประติมากรรมชิ้นนี้แบบเรียกง่ายที่สุด ปามองติเยร์เรียก “Male Figure” หมายถึงรูปบุรุษ ท่านอาจารย์บ๊วซเรียกว่า “เทวดา” (Divinity – Deva) ธรรมดา
ภัณฑารักษ์ชาวเวียดนามในพิพิธภัณฑ์ดานังเรียก “ทวารบาล” คือเทพผู้เฝ้าศาสนสถาน เพราะมีสิ่งของที่ถืออยู่ในมือเทพเหล่านี้ด้วย
อ้าว! แล้วยังไงต่อ ทำไมจึงเอารูปเคารพทั้งพระโพธิสัตว์ (พุทธมหายาน) มาวางปะปนกับรูปเทพาวารบาลของศาสนาฮินดู ในปราสาทดงเดืองแห่งนี้
พื้นที่หมดแล้ว มาวิเคราะห์ต่อในฉบับหน้า •
ปริศนาโบราณคดี | เพ็ญสุภา สุขคตะ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022