ตำรวจดีดี มีสิทธิไหมคะ?

เพลงหมอลำ “คนจนมีสิทธิไหมคะ?” จู่ๆ ก็กลายเป็นไวรัลฮอตในโลกออนไลน์รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับการพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมืองแม้จะร้องไว้นานมากแล้ว

ที่ดังเพราะคำร้องของเพลงมีส่วนของคำหยาบถูกวิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่?

แต่ในมิติหนึ่ง เพลงนี้กลับก่อให้เกิดการถกเถียงขึ้นมาก ตั้งแต่ประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ภาษา หมอลำในฐานะเครื่องมือต่อสู้ทางวัฒนธรรมของผู้อ่อนแอ การท้าทายกรอบคิดจารีตทางภาษาเดิมที่เคยยึดมั่นถือมั่นกันมา

บ้างวิเคราะห์ไปจนกระทั่งมุมมองเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเพศ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

จากจุดเล็กๆ ไวรัลในโลกออนไลน์ กลายเป็นการเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลง ค่านิยมทางสังคมร่วมกัน ไปจนระดับปัญหาเชิงโครงสร้างประเทศ

 

เวลาเดียวกับที่ไวรัลนี้กำลังดัง ก็เกิดเหตุการณ์ช็อกคนทั้งประเทศ

สารวัตรทางหลวง นายตำรวจหนุ่มอนาคตไกลยศ “พ.ต.ต.” ถูกสังหารในงานเลี้ยงภายในบ้านของกำนันที่อายุไม่มาก แต่รวยจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหลักพันล้าน ท่ามกลางสายตาตำรวจระดับสูง ทั้งผู้กำกับ สารวัตร นายพัน นายร้อยมากเกือบ 30 นาย ไม่มีใครช่วย ซ้ำยังมีข่าวการพากำนันคนดังหลบหนี มีการทำลายหลักฐาน ตั้งแต่ปืน ยันกล้องวงจรปิด (อ่าน นาที ‘กำนันนก’ สั่งตาย วิสามัญ ‘หน่อง ท่าผา’ มือยิงดับ พ.ต.ต.แบงก์ สลด ‘ผกก.เบิ้ม’ ฆ่าตัว หน้า 82-83)

ข่าวนี้ก่อให้เกิดการตั้งคำถามอย่างหนักว่าบ้านนี้เมืองนี้เคลื่อนมาถึงจุดนี้ได้ยังไง โครงสร้างสังคม โครงสร้างกฎหมาย ระบบราชการแบบไหน เป็นปัจจัยที่เอื้อให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ยิ่งเกิดในวงการตำรวจที่ถูกตั้งคำถามอย่างหนักหน่วงยาวนาน เหตุการณ์ครั้งนี้ยิ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้ต้องกลับมาคิดทบทวนถึงระบบที่มีอยู่ว่ามีช่องว่างตรงไหน โดยเฉพาะปัญหาบุคลากร

ทำไมระบบผู้มีอิทธิพล ระบบส่วย ธุรกิจสีเทา ระบบมาเฟียถึงได้เฟื่องฟู ทั้งที่เราชูคาถา ตั้งหน้าตั้งตาขายฝันปฏิรูปตำรวจมาตลอดเกือบ 1 ทศวรรษ ยุครัฐบาลที่ผ่านมา

ตั้งคำถามแบบให้ล้อไปกับไวรัลหน่อย ก็ต้องบอกว่า สรุปแล้วตำรวจดีๆ มีสิทธิไหม? ในประเทศนี้ สังคมนี้ที่จะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานโดยสุจริต ไม่ต้องพึ่งพิงหรือไปเป็นลูกน้องมาเฟียผู้มีอิทธิพล!

 

ในอดีตตำรวจไทยเคยยิ่งใหญ่เทียบเท่าทหาร โดยเฉพาะยุคที่มหาอำนาจอย่างสหรัฐดำเนินนโยบายสู้คอมมิวนิสต์ช่วงทศวรรษ 2490-2500 ให้การสนับสนุนระดับมหาศาลยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ผลักดันให้ตำรวจไทยเข้มแข็ง มีกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ใกล้เคียงทหาร จน พล.ต.อ.เผ่าให้คำขวัญตำรวจว่า “ไม่มีอะไรใต้ดวงอาทิตย์ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้”

แต่การพัฒนาของระบบตำรวจ ก็ไม่สามารถแยกกับโครงสร้างทางการเมืองของประเทศได้ เมื่อระบอบประชาธิปไตยยังไม่อาจฝังรากลงหลักปักฐานในประเทศไทยได้อย่างมั่นคง ปัญหาของตำรวจก็วนล้อไปกับการพัฒนาทางการเมืองของไทยเรื่อยมา

ในยุคนักการเมืองจากเลือกตั้งเป็นใหญ่ ตำรวจต้องน้อมฟังเสียงประชาชน ฟังเสียงนักการเมืองจากการเลือกตั้ง

แต่การเมืองไทยรอบทศวรรษที่ผ่านมา นักการเมืองจากรัฐประหารเป็นใหญ่ โครงสร้างตำรวจไทยจึงอยู่ในลักษณะรวมศูนย์อำนาจ แช่แข็งการเปลี่ยนแปลง แม้ผู้นำทางการเมืองจากการรัฐประหารจะชูโจทย์ปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องใหญ่ มีการตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาจัดทำโครงสร้างปฏิรูป แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว

ขนาดมี ม.44 อำนาจเด็ดขาดในมือ ยังแก้ปัญหาระบบโครงสร้างตำรวจไม่ได้

 

รูปธรรมของปัญหาใหญ่โครงสร้างตำรวจปีนี้ต้องยกให้การออกมาแฉเรื่องส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุก หรือจะเรียกว่า ส่วยทางหลวง เป็นข่าวใหญ่กลางปีที่ผ่านมา ของวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล ต่อเนื่องจากปัญหาโยกย้ายข้าราชการจากตั๋วสัตว์ต่างๆ ที่ถูกแฉโดย รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล

แต่รูปธรรมชัดเจนที่สุดที่ฉายภาพให้เห็นความล้มเหลวของระบบราชการและการบริหารปกครองประเทศ คือเหตุการณ์ครั้งนี้

โดยที่ จ.นครปฐม ถือเป็นพื้นที่สำคัญที่ถูกแฉเรื่องส่วยทางหลวง ส่วยรถบรรทุก ฟางเส้นสุดท้ายของเหตุการณ์ เกิดขึ้นเพียง กำนันผู้มีอิทธิพล พยายามขอให้ สารวัตรทางหลวงผู้เสียชีวิต ย้ายหลานซึ่งเป็นตำรวจสายตรวจวิทยุ ไปเป็นสายตรวจมอเตอร์ไซค์ แต่สารวัตรผู้เสียชีวิตไม่ยอม ก่อให้เกิดการรู้สึกเสียหน้า กระทั่งสั่งให้ลูกน้องที่เป็นมือปืนมายิงต่อหน้านายตำรวจจำนวนเกือบ 30 คน ที่ทำอะไรไม่ได้ แถมบางคนยังช่วยคนร้ายหลบหนี ทำลายหลักฐาน

เรื่องลุกลามเพราะกระแสสังคมไม่ยอม กดดันอย่างหนัก ต่อเนื่องด้วย ผู้การจังหวัดนครปฐม ผู้กำกับเมืองนครปฐมเก้าอี้ปลิวในเวลาต่อมา กระทั่งเกิดเหตุสลดขึ้นอีก เมื่อผู้กำกับการทางหลวง ยศ พ.ต.อ. ที่ร่วมในเหตุการณ์ เครียดจนต้องปลิดชีพตัวเอง

 

อาการเสียหน้า ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กำนันผู้มีอิทธิพลสั่งให้ลูกน้องยิงสารวัตรทางหลวงนั้น ที่จริงเป็นยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาทั้งหมด

หลักใหญ่ใจความคือเบื้องหลังอิทธิพลของกำนันนก และอิทธิพลในการประมูลงานก่อสร้าง จนสามารถสะสมทุน มีรถบรรทุกหลายร้อยคัน สร้างธุรกิจสีเทาหลักพันล้านได้อย่างไร พร้อมๆ กับต้องแก้ปัญหาการที่ตำรวจเข้าไปรับใช้ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น การรับเงินจากผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น กระทั่งออกอาการเหิมเกริมสั่งปลิดชีวิตใครก็ได้

รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล นำเรื่องนี้ไปถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในสภา โดยชี้ว่า การทุจริตทำให้โครงสร้างตำรวจอ่อนแอ เกิดผู้มีอิทธิพล กรณี “กำนันนก” ที่มีตำรวจถูกยิงต่อหน้าตำรวจจำนวนมาก เคสนี้นายกฯ จะทำอย่างไร จะสืบสาวต่อหรือไม่ว่าส่วยทางหลวงที่จ่ายกันสุดท้ายไปถึงใคร จะจัดการหรือเกรงกลัวตั๋วช้าง ซึ่งนายเศรษฐาไม่ได้ตอบ เพียงแต่บอกว่า ใครมีข้อมูล-คลิปผู้มีอิทธิพล ส่งให้ฝ่ายความมั่นคงได้เลย

หากพิจารณารัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐาขณะนี้ ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่ายังมีจุดอ่อนเรื่องความมั่นคง และโดยเฉพาะเรื่องตำรวจ

เพราะนายเศรษฐามีความเข้มแข็งมุ่งมั่นเรื่องการเปลี่ยนแปลง ผลักดันนโยบายทางเศรษฐกิจ มิใช่กระบวนการยุติธรรมและตำรวจ หรือหากดูรองนายกฯ และรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่จะเป็นผู้ควบคุม ผลักดันการปฏิรูปตำรวจ ก็ยังไม่เห็นความโดดเด่น

แม้กระทั่งไม่เห็นในคำแถลงนโยบายอย่างเป็นสำคัญ

 

ขณะที่กลไกการปกครองก็ถูกควบคุมโดยพรรคภูมิใจไทย นำโดยบ้านใหญ่บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และบ้านใหญ่อุทัยธานี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ในกรณีนี้ก็ทำได้เพียงขยับขึ้นทะเบียนผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นทั่วประเทศ

แต่ปัญหาสำคัญก็คือ แนวทางการประกาศล้างบางมาเฟีย ปราบผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ผลสุดท้ายจะซ้ำรอยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือไม่? ขนาดมี ม.44 ในมือ มีเวลาเป็นนายกฯ ถึง 9 ปี ยังทำไม่ได้

กลับกัน ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นกลับแข็งแรง ขยายตัวมากกว่าเดิม เครือข่ายความสัมพันธ์ของผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นกลับถักทอกันเหนียวแน่น ลึกซึ้ง กว้างขวางยิ่งกว่าเดิม

เกิดผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับนักการเมืองระดับชาติ ที่เข้ามาทำงานหาประโยชน์กับกลไกรัฐ การประมูลงานกับราชการจำนวนมาก สะสมทุนจนรวยหลัก ร้อยล้านพันล้าน ทั้งที่อายุแค่เลข 3

จึงไม่แปลกถ้าพวกเขาเหล่านี้จะจ่ายเงินให้ตำรวจ เพื่อเป็นการสร้างเครือข่าย สร้างเกราะป้องกันธุรกิจสีเทา วันดีคืนดีก็อารมณ์ร้อน ไม่พอใจ ไม่ได้รับสิ่งที่ตัวเองเคยได้หรือคิดว่าจะได้ การสั่งปลิดชีพนายตำรวจระดับสารวัตร จึงเกิดขึ้นได้ง่ายๆ

นี่คือปัญหาโครงสร้างการเมือง สังคม และการพัฒนาเศรษฐกิจที่สะสม หมักหมมมานาน ภายใต้รัฐประชาธิปไตยครึ่งใบในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

 

ที่จริงมีคนแบบ “กำนันนก” นครปฐม เต็มประเทศไปหมด แค่คนอื่นยังไม่สั่งให้ลูกน้องลั่นไกปลิดชีพนายตำรวจระดับสารวัตรเพราะรู้สึกเสียหน้าจากการถูกปฏิเสธ ต่อหน้านายตำรวจระดับผู้กำกับยศ พ.ต.อ. นายร้อย นายพัน อีกหลายคนต่างหาก

หรืออาจจะมีการใช้อำนาจเถื่อนในลักษณะดังกล่าวอยู่เพียงแต่ไม่เป็นข่าวเท่านั้น

ยังไม่นับว่าผู้มีอิทธิพลเหล่านี้มีเสื้อคลุมคือเป็นข้าราชการคือ “กำนัน” ซึ่งก็สะท้อนปัญหาโครงสร้างอำนาจรัฐ การกระจายอำนาจในระดับท้องถิ่นอีก ที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งบ่อยๆ มีอำนาจทับซ้อนกับ อบต.-เทศบาล เหล่านี้ก็ยังไม่ถูกแก้ไข และกลายเป็นเครื่องมือของผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นใช้แสวงหาประโยชน์ทางอำนาจ กระทั่งใช้เป็นเกราะป้องกันธุรกิจสีเทา

เหตุการณ์นี้เหตุการณ์เดียว จึงเชื่อมโยงเรื่องราวปัญหาได้มากมาย ตั้งแต่ปัญหาโครงสร้างตำรวจ ระบบส่วย ซึ่งเชื่อมโยงกับอำนาจการแต่งตั้งโยกย้าย ไล่มาจนถึงปัญหาผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ปัญหาการทำธุรกิจสีเทา ธุรกิจมืด ปัญหาโครงสร้างระบบราชการ ที่เปิดให้คนเหล่านี้เข้ามามีอำนาจ กระทั่งถูกใช้เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ การฮั้วประมูลต่างๆ กระทั่งร่ำรวยหลักร้อยล้านพันล้าน

 

ถ้ามองเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าเป็นปัญหาส่วนบุคคล ไม่เห็นโครงสร้างปัญหาเบื้องหลังก็นับว่าน่าเสียดาย การแก้ปัญหาแบบขอไปที จัดการไปทีละเคส ที่สุดปัญหาก็จะวนกลับมาใหม่เพียงไปเกิดในที่อื่นๆ

รัฐบาลในอดีตเคยจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ผลักดันปฏิรูปตำรวจแล้ว มีเวลาเกือบ 10 ปีในการทำงาน แต่ผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็นคือการปฏิรูปตำรวจฉบับไม่ตรงปก เพราะการปฏิรูปตำรวจต้องการการมุ่งมั่น จริงจังระดับ “สูง” ยิ่ง

ขณะที่รัฐบาลเพื่อไทยนั้น ก็ไม่รู้ว่าจะฝากฝังการปฏิรูปตำรวจไว้ในมือได้มากแค่ไหนเพราะยังไม่เห็นแนวทางนโยบายที่เป็นรูปธรรม ไม่มีแม้แต่ในแถลงนโยบายด้วยซ้ำ

ถ้าไม่จัดการแบบขุดรากถอนโคนอิทธิพลท้องถิ่นแบบ “กำนันนก” ไม่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน “วงการตำรวจ”

ตำรวจดีๆ คงไม่มีสิทธิไปอีกนาน