นงนุช สิงหเดชะ/คำขู่ของ “จักรภพ เพ็ญแข”

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

คำขู่ของ “จักรภพ เพ็ญแข”

หลังจากเงียบหายไปนาน ชื่อของ จักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระบุว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ค้นพบในบึงน้ำจังหวัดฉะเชิงเทราเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเป็นอาวุธชนิดเดียวกับที่มีคนร้ายนำมาใช้ก่อเหตุทางการเมืองเมื่อปลายปี 2556 จนถึงเดือนเมษายน 2557

นายจักรภพเคยถูกศาลทหารออกหมายจับมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนมิถุนายน 2557 ในข้อหาเดียวกันคือมีอาวุธสงครามในครอบครอง หลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจยึดอาวุธได้ในหลายพื้นที่และพบว่านายจักรภพมีส่วนพัวพัน

จักรภพหลบหนีออกนอกประเทศไปตั้งแต่ คสช. ยึดอำนาจ สถานะของเขาจนถึงขณะนี้ ยังมีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพติดตัวอีกด้วย

ซึ่งหลังจากหลบหนีไปแล้วเขายังเคลื่อนไหวผ่านโลกโซเชียลอยู่ระยะหนึ่ง

แต่พักหลังนี้เงียบหายไปนาน จนกระทั่งล่าสุดนี้เขาได้โพสต์เฟซบุ๊ก ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว

แถลงการณ์ของจักรภพถือว่า “แรง” และเต็มไปด้วยความเคียดแค้นคล้ายเก็บกดมานาน เช่น “สิ่งเดียวที่ผมยึดมั่นคือ การต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตย เพราะเพียงเท่านั้นฝ่ายประชาชนก็ชนะขาดลอย ไม่ต้องไปจับอาวุธที่ไหนให้ขัดต่อคุณธรรมและความยอมรับสากลเลย มีแต่โจรตำแหน่งสูง แต่จิตใจต่ำช้าในเมืองไทยเท่านั้น ที่ต้องคอยถืออาวุธและซื้ออาวุธให้มากเข้าไว้ เพราะรู้ว่าอำนาจชั่วของตัวเองใช้คุ้มหัวอะไรไม่ได้เลยเมื่อถึงเวลา ซึ่งอาจมาถึงในไม่ช้านี้”

หรือ “หลายปีที่ผ่านมา ผมอยู่นอกประเทศอย่างเงียบสงบ เพื่อรอให้ความชั่วร้ายในระดับระบอบซึมเข้าไปในหัวของคนส่วนมากในสังคมเสียก่อน จึงขอบอกไว้ให้ชัดตรงนี้ว่า อย่ายั่วยุกันให้มากจนเกินไปนัก การลุกฮือของประชาชนไม่ใช่ของที่ไกลเกินเอื้อม หากผู้กุมอำนาจในรัฐไทยโง่และชั่วพอ”

หากพิเคราะห์จากถ้อยคำบางตอนของจักรภพ ดูคล้ายกับว่าเขามั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะชนะ ตราบเท่าที่ฐานเสียงเดิมยังเหนียวแน่น แต่ก็ยังน่าสงสัยว่าแค่รักษาคะแนนไว้เท่าเดิมจะทำได้หรือไม่

ส่วนการจะได้คะแนนเสียงมากกว่าเดิมคงเป็นไปได้น้อย เพราะถึงแม้ขณะนี้คะแนนนิยมของรัฐบาล คสช. จะลดลง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จะหันไปเลือกพรรคเพื่อไทย

เนื่องจากยี่ห้อของพรรคเพื่อไทยยังเป็น “เครื่องหมายความขัดแย้ง” ซึ่งประชาชนส่วนที่เหลือ (ที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับเหนียวแน่น) ยังอาจหวาดกลัวที่จะเลือกเข้ามา เนื่องจากเกรงจะเรียกแขก สร้างความปั่นป่วนทางการเมืองขึ้นมาอีก

ส่วนคำขู่ของจักรภพ ที่ว่า “อย่ายั่วยุกันให้มากจนเกินไปนัก การลุกฮือของประชาชนไม่ใช่ของที่ไกลเกินเอื้อม หากผู้กุมอำนาจในรัฐไทยโง่และชั่วพอ” นั้น เจ้าตัวน่าจะหมายถึงอย่ายั่วยุคนเสื้อแดง ไม่เช่นนั้นประชาชน (คนเสื้อแดง) จะลุกฮือ

แต่คำขู่นี้ในทางปฏิบัติจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ยังน่าสงสัย เพราะถ้า “ประชาชนส่วนที่เป็นเสื้อแดง” จะลุกฮือ ก็น่าจะลุกมานานแล้ว หากยังมีพลังบริสุทธิ์อยู่มากจริง เพราะขนาด คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นแม่เหล็กเบอร์หนึ่งที่คนเสื้อแดงรักมาก ยังโดนคดีอ่วมจนต้องหลบหนีออกนอกประเทศเงียบหายจนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่เห็นประชาชนเสื้อแดงจะลุกฮือ

ดังนั้น นับประสาอะไรกับนายจักรภพและคนเสื้อแดงระดับแถวล่างที่ถูกดำเนินคดีเรื่องอาวุธสงคราม จะสามารถมีพลังจนเป็นชนวนเหตุให้คนเสื้อแดงลุกฮือ อีกประการหนึ่งอย่าลืมว่าความชอบธรรมคนเสื้อแดงน้อยลงไปเยอะหลังจากมีพวกเดียวกันหลายรายถูกจับและถูกดำเนินคดีในข้อหาใช้อาวุธฆ่าคนหรือทำร้ายคน

ส่วนที่นายจักรภพหวังว่า “ผู้กุมอำนาจรัฐไทยจะโง่และชั่วพอ” นั้นบังเอิญว่า รัฐบาลนี้ยังไม่โง่และไม่ชั่วพอ เพราะว่าก็มีผลงานเชิดหน้าชูตาอยู่บ้าง เช่น สามารถทำให้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ) ปลดธงแดงสายการบินในประเทศไทย จนสามารถเปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศได้ตามปกติแล้ว แถมกรุงเทพฯ ได้แชมป์เมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในโลกติดต่อกัน 2 ปีซ้อน

ส่วนภาพรวมการท่องเที่ยว ก็สามารถสร้างรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากเป็นประวัติการณ์ทุบสถิติ เนื่องจากบ้านเมืองสงบ

นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังปรับอันดับความง่ายในการทำธุรกิจในประเทศไทยขึ้นพรวดเดียว 20 อันดับ จากอันดับ 46 ของโลกขึ้นมาสู่อันดับ 26 ของโลก หรือเป็นที่ 3 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ส่วนส่งออกก็ขยายตัวมากในรอบหลายปี

แม้โพลล่าสุดจะบ่งชี้ว่าประชาชนอยากเลือกตั้ง แต่หากดูในภาพรวมจากโพลหลายสำนักจะเห็นว่าจุดที่ประชาชนให้คะแนน พล.อ.ประยุทธ์ค่อนข้างสูงคือทำให้บ้านเมืองสงบไม่วุ่นวาย ซึ่งนั่นก็น่าจะสะท้อนว่าประชาชนยังขวัญผวาว่าบ้านเมืองจะกลับสู่ความไม่สงบอีกหลังการเลือกตั้ง

พรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับ คสช. และอยากเลือกตั้งเร็วๆ มักจะอ้างว่ารัฐบาลเลือกตั้งมีแต่ข้อดี เพราะต่างประเทศให้การยอมรับ ต่างประเทศเข้ามาลงทุนและเศรษฐกิจจะเติบโตดี

แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลเลือกตั้งที่มีแต่ความขัดแย้งวุ่นวายทางการเมือง (เพราะรัฐบาลนั้นไม่ทำตัวเป็นประชาธิปไตย กระทำผิดจริยธรรมและรัฐธรรมนูญ) ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนประเทศไปไหนได้เช่นกัน

ดูตัวอย่างจากรัฐบาลในยุคยิ่งลักษณ์ นักท่องเที่ยวหดหายเพราะมีม็อบออกมาประท้วงจากกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอยและอีกหลายเรื่องที่ท้าทายการตรวจสอบตามระบบรัฐสภา ในที่สุดต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้นักท่องเที่ยวไม่มาเที่ยวไทยอยู่ดี เพราะประเทศที่ประกาศภาวะฉุกเฉิน บริษัทประกันจะไม่รับทำประกันภัยให้นักท่องเที่ยว

ส่วนที่ว่าต่างประเทศจะมาลงทุนในรัฐบาลเลือกตั้งนั้น ในทางปฏิบัติเมื่อนักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองก็จะไม่มีการลงทุนเพิ่ม แม้จะมีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนไว้ แต่ก็เป็นเพียงตัวเลข ไม่มีการลงมือจริง ดังนั้น ก็ไม่ได้มีแต้มต่ออะไรมากนัก เมื่อเทียบกับรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจดี ก็คือการเมืองต้องมีเสถียรภาพเสียก่อน ซึ่งการทำให้การเมืองมีเสถียรภาพนั้นขึ้นกับหลายปัจจัยซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในขณะนั้นด้วยที่จะไม่สร้างเงื่อนไขขัดแย้ง

ไม่ใช่จะมาพูดง่ายๆ เอาแต่ได้ว่าฉันมาจากการเลือกตั้งแล้ว ฉันจึงชอบธรรม ใครจะมาไล่ไม่ได้ หรือสร้างวาทกรรมว่าคนที่ออกมาไล่รัฐบาล ไม่รักประชาธิปไตย