ถามมันรึยังว่าอยากมีเพื่อนเป็นกะหรี่หรือเปล่า | เรื่องสั้น : สุรวัฒน์ ชูผล

เรื่องสั้น | สุรวัฒน์ ชูผล

ถามมันรึยังว่าอยากมีเพื่อนเป็นกะหรี่หรือเปล่า

 

เสียงเรือแล่นฝ่าน้ำดังมาแต่ไกล โอ๋เงยหน้าจากแผงขายเสื้อผ้าแล้วเดินรี่เข้าไปบริเวณท่าเรือ ที่โป๊ะมีคนไม่มาก กลิ่นน้ำเหม็นหืนที่คุ้นชิน คนราวสี่ห้าคนเดินลงเรืออย่างมีระเบียบ เรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา โอ๋นั่งห่างจากคนอื่นสีหน้าหดหู่ ก้มมองมือถือเป็นระยะ คลื่นน้ำแหวกออกเป็นฟองขาว สีแม่น้ำในตอนเย็นดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไรกันแน่ เขียว หรือเหลืองโคลน ขึ้นกับแสงแดดที่สาดลงไป มันหลอกตาจนสับสน หล่อนจ้องลงไปในน้ำดูเคร่งเครียด คิดอะไรบางอย่าง

เรือลากจูงสินค้าอยู่ห่างออกไป มันดูเหมือนแทบไม่เคลื่อนที่ ลำสินค้ายาวต่อกัน เรือข้ามฟากวิ่งผ่านไปอย่างสบาย ไม่เคยมีเหตุการณ์เรือชนกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี มันอาจมีแต่หล่อนไม่รู้ ท่อนไม้ดำลอยตัดหน้าเรือมา คลื่นน้ำจากเรือสินค้าดันมันลอยตามฟองอากาศ หญิงสาวจ้องท่อนไม้นั่น ได้แต่หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิดอีก

เมื่ออาทิตย์ก่อน โอ๋ยืนพิงราวเหล็กใต้สะพาน หล่อนเห็นศพ…

 

โอ๋เห็นบางอย่างลอยอยู่ในน้ำ มันไม่ใช่ท่อนไม้หรือขยะ แต่มันเป็นคน คนลอยอยู่ในน้ำ คนที่เสียชีวิตแล้ว ศพลอยมาติดตอม่อก่อนจะขยับหลุดเพราะกระแสน้ำ หญิงถ่ายรูปเอาไว้แล้วโทร.แจ้งตำรวจ นี่คือที่หล่อนนึกออกว่าต้องทำยังไง ก่อนเดินขึ้นเรือไปแบบใจสั่นหวิว

ไม่นานข่าวลงว่าเจอร่างในแม่น้ำแล้ว ชาวบ้านว่ายไปลากศพมาผูกไว้กับโป๊ะเก่าก่อนจะถูกกระแสน้ำพัดหาย เบาะแสเริ่มต้นมาจากโอ๋ กู้ภัยมาช่วยกันพาร่างขึ้นไว้บนศาลาท่าน้ำของวัดพอดี สัปเหร่อกุลีกุจอดูแลอย่างดี

โอ๋อ่านข่าวจากโทรศัพท์มือถือ รายละเอียดทุกอย่างถูกข่าวหลายสำนักรายงานเหมือนๆ กัน เนื้อหาเขียนเหมือนกัน พลเมืองดีแจ้งเหตุพบศพลอยมาติดตอม่อ มันก๊อบปี้กันมา คงเป็นการซื้อขายข่าวมากกว่า โอ๋คิดยังไงเสียก็ไม่ได้หวังว่าจะมีชื่อตัวเองอยู่ในนั้น ก็หล่อนบอกชื่อมั่วๆ ไปด้วยซ้ำ ตอนนั้นตกใจ พยายามคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ยังสงสัยตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนั้น เบอร์สายด่วนก็นึกไม่ออก จนได้พิมพ์หาในกูเกิล

เรือลากจูงส่งเสียงสัญญาณเตือน เรือข้ามฟากแล่นผ่านไปอย่างปกติ เรื่องน้ำอันตรายไม่เหมือนบนบก ล้มแล้วลุกขึ้นได้ แต่ตกน้ำไม่เหมือนกันนะซี ตกแล้วจมหายถ้าว่ายไม่เป็น โอ๋จ้องคลื่นน้ำที่เรือแล่นผ่าน ฟองอากาศปนคราบสกปรกลอยเป็นแผ่น ในน้ำสีเขียวนี่มีอะไรมาตายแล้วบ้าง เด็กวัยรุ่นด้านหน้าเอื้อมมือลงไปตีน้ำ ก่อนกวักขึ้นสาดใส่เพื่อน

ในข่าวเขียนเพิ่มว่า ศพลอยมาไกลมากราว 70 กว่ากิโล ก่อนมาติดตอม่อ กระแสน้ำพาร่างลอยมาตามการไหลออกสู่ปากอ่าว ไหลมาตามแรงดึงดูด มันน่าแปลกที่ไม่มีใครเห็นระยะทางผ่านหลายจังหวัด จนมาถึงใต้สะพานตอม่อ ระยะทาง 70 กิโลมันเป็นระยะทางไกลถึงอยุธยาโน่นเลย แม่น้ำป่าสักเชื่อมเจ้าพระยา โอ๋ยืนพิงราวเหล็กใต้สะพานจ้องลงไปในน้ำ แล้วร่างนั้นก็ลอยมา ระยะห่างไม่มากนักพอได้เห็นว่าเป็นเสื้อคนด้านหลัง ทีแรกก็คิดว่าเป็นเสื้อธรรมดา แต่แล้วกระแสน้ำก็ดันไปชนตอม่อหงายขึ้นเห็นเป็นหน้าคน…

หน้าคนแน่ๆ โอ๋เพ่งมอง คนจริงๆ ด้วย หน้าบวมฉุ

พอได้อ่านข่าวที่ไปสัมภาษณ์ญาติ โอ๋เกิดความรู้ตื้นตันใจที่ตัวเองมีส่วนทำให้ได้เจอศพ อย่างน้อยญาติพี่น้องจะได้ยุติการค้นหา ไม่ต้องมากังวลไปต่างๆ นานา เขาจะลอยไปอยู่ไหน จะได้นำร่างไปทำบุญอย่างที่ควรหรือเปล่า

 

โอ๋ลงเรือที่ท่าเรือรถไฟ ปลายทางบ้านอยู่ตลิ่งชัน หล่อนยืนพิงรั้วก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ โอ๋ไปเขียนคอมเมนต์เฟซบุ๊กในข่าวอันหนึ่งว่า หนูเป็นคนเห็นศพลอยมา แต่พอจะเขียนเล่าต่อก็โดนคอมเมนต์บูลลี่เสียก่อน มีบางอย่างอยากเล่าแต่ก็อึดอัด กลัวว่าถ้าเล่าออกไปคนจะไม่เชื่อ งั้นเขียนแค่ว่าเห็นก็พอ พอถูกด่าหล่อนอึ้งไปแต่คิดไม่ออกว่าจะตอบอะไรเลยตัดสินใจเงียบเสียดีกว่า โลกอินเตอร์เน็ตไม่รู้ใครเป็นใคร

“เจอจะตบปากสักทีมึง” โอ๋สบถก่อนปิดโทรศัพท์

เรือมาจอดเทียบอีกลำ คนกรูกันลงมา รั้งท้ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ก่อนจะเดินผ่านมันเหลือบมองโอ๋อย่างจงใจ

โอ๋สบตาแว่บหนึ่ง แล้วส่งยิ้มน้อยๆ ให้ ชายหนุ่มทำหน้าเหลอหลา โอ๋เดินพุ่งเข้าไปหาก่อนทักถามว่า

“พี่สนใจเที่ยวมั้ย? ไม่แพงหรอก ไปเปล่าคะ”

ชายหนุ่มหน้าตี๋แต่ดูหื่น โอ๋มองหน้าก็รู้เพราะเห็นมันเหลือบมองหน้าอกตั้งแต่เดินมาแล้ว (เสื้อนักศึกษารัดติ้วจนเห็นร่องอก ไม่มองก็แปลก) ชายหนุ่มลังเล ทำหน้าแปลกใจ ในตรอกไม่มีใครแล้ว คนที่เดินขึ้นจากเรือก็เดินผ่านไปหมด เหลือแต่มันรั้งท้าย หนุ่มตี๋ยืนชั่งใจก่อนหรี่ตามอง “ไปมั้ยตัวเอง” โอ๋เอื้อมมือไปแตะแขนเบาๆ เดินนำหน้าไป หนุ่มตี๋เดินตามมาห่างๆ

แสงแดดหรุบต่ำลง ในตรอกมืดกว่าปกติ หนุ่มตี๋เร่งฝีเท้ามาเทียบข้างแล้วกระซิบถามไปแถวไหน? หญิงสาวบอกไม่ไกลหรอกพี่ เดินตามมาก่อน แล้วถามว่าไม่เคยมาแถวนี้หรือ? หนุ่มตี๋พยักหน้าแต่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร โอ๋เดินผ่านป้าขายปลาหมึกย่าง หล่อนดึงแขนชายหนุ่มให้รอ

“เดี๋ยวหนูขอซื้อนี่หน่อย – พี่หิวมั้ย เอาเปล่า?”

เสียงเรือยังดังลอยมาตามตรอก เป็นเรื่องปกติคนอยู่ท่าน้ำ เสียงเรือคือวิถีชีวิตไปแล้ว ระหว่างยืนซื้อ หญิงสาวดึงแขนมาแนบหน้าอกเบาๆ หนุ่มตี๋มองก่อนที่โอ๋จะปล่อยมือลง

สองคนนั่นเดินตามกันหายไป ไม่รู้ว่าไปบรรจบกันที่ไหน หญิงสาวกับชายหนุ่ม คู่รักชั่วคราวชั่วยาม แดดหายไปแล้ว บรรยากาศหม่นหมอง

 

รุ่งเช้ามา โอ๋มายืนอยู่ใต้สะพานที่เก่าอีกครั้ง หล่อนยืนเท้าแขนกับราวเหล็ก มองดูคลื่นน้ำไหลผ่านตอม่อ บางครั้งมันก็ลากขยะมาแทนที่ คลื่นน้ำจากเรือซัดใส่ตอม่อเป็นจังหวะ ฟองอากาศสกปรกลอยไปทั่ว ลูกมะพร้าวน้ำหอมผุดขึ้นจากน้ำ มองดูเหมือนหัวคนที่ถูกปาดจนกะโหลกเปิด โอ๋คิดว่าถ้าเป็นตัวเองจมลงไปตอนนี้ก็ตายเท่านั้น หล่อนว่ายน้ำไม่เป็นด้วย บางทีอาจตายเพราะน้ำสีเขียวขุ่นคลั่กของมันก็เป็นได้ คนจมน้ำตายจะรู้สึกอย่างไรนะ มันทรมานมากแค่ไหน หล่อนเคยเปิดอ่านในอินเตอร์เน็ตว่า คนจมน้ำไม่ทรมาน พอน้ำท่วมปอดจนเต็ม สติก็หลุด ไม่ทุรนทุราย แต่ก่อนหน้านั้นซี ตอนผุดๆ โผล่ๆ มันต้องทรมานทรกรรมน่าดู ขออย่าให้เกิดขึ้นกับตัวเองเลย

โอ๋ไม่ชอบน้ำแต่ใช้ชีวิตอยู่ใกล้น้ำตลอด สัญจรใช้เรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา บ้านเพื่อนสมัยมัธยมต้นที่สนิทก็อยู่ริมคลอง ไปทะเลก็บ่อยแต่ดันว่ายน้ำไม่เป็น แต่ชีวิตก็สืบต่อเรื่อยมา ความแน่นอนบางครั้งมันก็ยากคาดเดา

อย่างเมื่อวานหนุ่มตี๋นั้นก็เบี้ยว เดินตามมากันอยู่ดีๆ พอหันไปอีกทีก็เดินหนีไปต่อหน้าต่อตา ไม่ได้เงินแล้วมันยังรู้ว่าหล่อนขายตัวอีก ปกติโอ๋ไม่ถามใครมั่วซั่วแบบนั้น หล่อนรักษาพื้นที่หากินไว้ เป็นเพราะมันหล่อรึเปล่านะ จู่ๆ ถึงได้ถามชวนมันไปแบบนั้น ที่จริงโอ๋แค่อยากมีเพื่อนคุยต่างหากล่ะ เพื่อนวัยใกล้ๆ กัน

ถามมันรึยังว่าอยากมีเพื่อนเป็นกะหรี่หรือเปล่า

 

อยู่มาวันหนึ่ง โอ๋หันไปเห็นหนุ่มตี๋ยืนพิงเสาในเรือข้ามฟาก มันมองจ้องมา โอ๋หันไปเห็นพอดี ยังทันเห็นมันยิ้มเยาะเย้ยอีกด้วย แต่หล่อนก็ไม่สน ไหนๆ ก็พลาดท่าไปแล้ว อายนิดหน่อย แต่ท่ายิ้มมันน่าตบปากจริงๆ พอหล่อนก้าวลงท่าเรือ เดินปรี่ไปหา แต่มันกลับชะงักถอยหลัง ก่อนที่จะวิ่งพรวดแทรกคนหนีหายไป โอ๋ได้แต่ยิ้มขัน โธ่ไอ้คนขี้ขลาด แค่อยากถามว่าปลาหมึกวันนั้นอร่อยมั้ย

ข่าวชายจมน้ำลอยมาจากอยุธยา หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว แต่ข่าวน้ำท่วมกรุงเทพฯ กระพือขึ้นมาแทน

โอ๋ยังคงใช้ชีวิตแบบเดิมๆ กลางวันเป็นพนักงานเสิร์ฟ แต่พอตกเย็นหล่อนก็หาลำไพ่พิเศษ มีเจ๊ชวนให้ไปทำจริงจังแถวตรอกสาเก แต่หล่อนยังไม่อยากเป็นกะหรี่ หล่อนแค่ต้องการเงินพออยู่รอดไปก่อน เจ๊ว่ามันจะต่างกันตรงไหน อย่างไรเสียก็ขายไอ้นั่นเหมือนกัน ถึงเจ๊จะว่าอย่างนั้น แต่โอ๋ก็ยังไม่อยากเป็นมันแบบเต็มตัวนี่

วันนั้นมายืนอยู่ริมถนนคลองหลอด เจอพี่จิ๋ม ก็เจ๊นั่นแหละ ได้พูดคุยปรับทุกข์ “ถ้าเธอมาตั้งแต่บ่ายก็มีคน เจ๊บอกเลยมีมาเรื่อย ดูเหมือนเงียบไม่มีแขก แต่มีนะ พวกกลัดมันต้องปล่อยน้ำออกไม่งั้นปวดแย่” เจ๊ลากเก้าอี้พลาสติกเก่าซ้อนกันลงนั่ง “เหมือนเจ๊ถ้าไม่ได้กินกาแฟ ปวดหัวบนหนึบๆ” แกเอานิ้วนวดขมับวนๆ

“มาทำจริงจังเลย เชื่อเจ๊ซี”

 

แล้ววันที่นั่งเรือข้ามฟาก ไม่รู้คิดยังไงหล่อนไปกดหาคอมเมนต์ตัวเองในเฟซบุ๊ก ทั้งที่พยายามไม่ใส่ใจแล้วก็ตาม มีคนมาตอบยาวเป็นพรืด “โอ้โห นี่มันอะไรกัน!” โอ๋ขำขันที่มีคนมาทะเลาะกันเพียงเพราะคอมเมนต์ว่า หนูเป็นคนเห็นศพลอยมา มีทั้งคนปกป้องและกวนประสาท แต่พอเลื่อนมาเจออีกคอมเมนต์ คราวนี้หล่อนไม่ขำ มีคนมาด่าหล่อนว่า

‘อีกะหรี่ดีแต่ปาก’

โอ๋สะดุดกึ้ก ใจสั่น สันหลังเย็นวาบ…

ใครกันที่มันรู้เรื่องนี้ เป็นไปไม่ได้ มันน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้ซี…โดนด่าทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันสักนิด แถมมันยังด่าเรื่องที่โอ๋ไม่อยากยอมรับความจริงด้วยซ้ำ

โอ๋ทำเพราะจำเป็น ไม่ทำก็อดตาย ถ้าปากเดียวยังพอไหว แต่นี่ยังมีน้องอีกสองคน ชีวิตไม่ต่างละครช่อง

เสียงเครื่องยนต์เร่งตัดคลื่นน้ำจนเรือโยก ฟองอากาศสีเขียวปนไปด้วยสาหร่ายสกปรกลอยหมุนตามกระแสน้ำ ตามด้วยกลิ่นเหียนเวียนหัว โอ๋ปิดปากปิดจมูกคลื่นไส้ คอหอยเริ่มตีบตัน หล่อนอยากอ้วกขึ้นมา

ไม่รู้เพราะเรื่องถูกด่า หรือกลิ่นน้ำที่ชวนเหียน ขนาดเห็นศพเน่าๆ ยังไม่รู้สึกอะไรเลย

ไอ้หมาตัวไหนมันช่างปากดีเสียเหลือเกิน

‘อีกะหรี่ดีแต่ปาก’ มันเป็นใคร มันใช่ผู้ชายคนนั่นหรือเปล่า

เสียงเจ๊จิ๋มลอยมา ‘มาทำจริงจัง เป็นกะหรี่ก็ไม่เสียหาย ไหนๆ มีจิ๋มก็ต้องโดนเอาอยู่แล้ว จริงมั้ยลูก?’

โธ่เว้ย! บอกแล้วไงแค่อยากหาลำไพ่พิเศษเท่านั้น ไม่ได้อยากเป็นกะหรี่จริงจัง

 

ความเห็นในอินเตอร์เน็ต บางทีมันซ่อนข้อความแปลกๆ เอาไว้ เหมือนรหัสลับที่รอให้คนที่ต้องการสื่อสารมาเจอ และได้ตีความ เหมือนพาสเวิร์ดที่ต้องไขด้วยปัญญาประดิษฐ์ สับคละข้อมูลราวกับนักโปรแกรมเมอร์ อ่านแล้วก็หัวเราะ แต่บางทีก็สั่นประสาท เหมือนมีใครตั้งใจส่งสารบางอย่าง ใครไม่รู้ในโลกไซเบอร์ ใครสักคนที่แอบมองในใจว่า ‘ฉันแอบมองเธออยู่’ หรือถ้าหยาบๆ ก็กูรู้นะว่ามึงเป็นใคร ไม่ว่าจะทำอะไรมีปีศาจร้ายแอบซ่อนหลังม่านสกปรกดำเขลอะ ตัวร้ายที่คอยแอบกัดกินจิตวิญญาณคนอื่น เหมือนมดปลวกที่หลบอยู่ตามซอกชื้นตู้หนังสือ มันกินจากด้านหลัง ค่อยๆ แทะ เสียงฟันตามสับกระดาษเป็นร่องลึก มุดตัวชอนไช สร้างอาณาจักรก้อนดินเป็นรัง

ถ้าไม่ดึงม่านเปิดก็ไม่มีทางเห็นสิ่งชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ ถ้าไม่เปิดคงไม่เห็นมันแทะกินจนกลวง ถ้าโอ๋ไม่ไปเขียนคอมเมนต์ มันคงไม่มีทางรู้ว่าเราเป็นใคร พอเปิดเผยตัวมันก็พุ่งเข้าใส่ ขย้ำเหยื่อเบาๆ

แต่ที่ขี้ขลาดคือมันสร้างเฟซบุ๊กปลอมๆ นะซี

มีข้อความอินบอกซ์มา โอ๋ไม่เห็นเพราะเป็นข้อความปริศนา ระบบไม่แจ้งถ้าไม่สังเกต แต่แล้วหล่อนก็เห็นเมื่อมันขึ้นจำนวนข้อความที่มากขึ้นเรื่อย ในเมสเซจรีเควสต์ มีข้อความนิรนามว่า ‘ไงน้องสาวเป็นกะหรี่จริงป่ะ พี่สนใจนะมาคุยดั้ย’ โอ๋ตั้งสติได้หลายวันแล้ว หล่อนยังอ่านข้อความนี้วนไปมา มันก็แค่พวกปากดีเท่านั้น แต่คนที่เปิดเผยตัวหล่อนในโพสต์มันคนละคน คนนั้นมันไม่ได้มาคุกคาม แต่มันเป็นคนเปิดม่านให้แสงส่องมาที่หล่อน

ทั้งที่จริงแล้วโอ๋ควรเป็นคนที่แหวกม่านนั่น แหกอกพวกปีศาจจิตใจชั่วร้ายทั้งหลาย หล่อนควรเป็นคนสับสวิตช์ ลบข้อมูลพวกมันให้หายไปจากชีวิตมากกว่า

แต่ว่า ทางเดียวที่จะสงบจิตใจได้คือ การแก้แค้นมันเท่านั้น แต่หล่อนจะทำได้อย่างไรล่ะ?

 

หล่อนอาจจะมีชีวิตโสโครก อาชีพไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเด็กสาวมหาวิทยาลัยที่ดูหน้าตาสดใส พวกที่ยืนรอข้ามเรือ มือถือหนังสือเล่มหนา ใบหน้าอวบอิ่ม ไม่ต้องอดนอนทำงานกลางคืน พอยืนใกล้กันมันช่างเห็นความแตกต่าง ทั้งที่ผิวพรรณก็ขาวไม่ต่าง แต่ขาดความสดใส โอ๋ไม่มีวันเห็นเหมือนคนพวกนี้ เด็กสาวน่าจะรุ่นเดียวกันหันมองโอ๋ ทั้งสองสบตากัน ก่อนที่เด็กสาวนั่นจะส่งยิ้มอย่างไมตรีมาให้…

คืนนั้น โอ๋นั่งรอแขกริมถนนเหมือนเคย เจ๊จิ๋มไม่อยู่แกคงได้แขกไปก่อนหน้า มีพี่นิดรุ่นน้าอีกคนนั่งอยู่ด้วยกัน ตรอกซอยนี้มีแต่คนแก่ทั้งนั้น โอ๋น่าจะเด็กสุด ถ้าไม่นับพวกกะเทยที่แต่งหญิงเสียจนผู้หญิงอาย แต่ลูกค้าก็คนละแบบ พวกชอบกะเทยก็มี คนแก่ๆ รุ่นป้า รุ่นแม่ ก็ได้ลูกค้าตลอด ส่วนสาวๆ อย่างโอ๋กลับน้อยที่สุด เพราะนักเที่ยวมักลังเลเพราะเด็กสาวเรื่องมากจุกจิก เร่งให้ทำเวลา แถมยังเอาใจไม่เก่งอีก ก็ตรอกซอยนี้เป็นของคนมีอายุสามสิบขึ้นทั้งนั้น

แต่วันนี้น้านิดต้องแปลกใจ เพราะชุดที่โอ๋ใส่มันอย่างกับนักศึกษานะซี “เฮ้ยอีหนูไปทำไรมาเนี่ย อย่าบอกนะว่าเป็นนักเรียนด้วย ตายห่ะ?” โอ๋ยิ้มร่าเพราะไม่คิดว่าน้านิดจะเชื่อ มีชายหนุ่มเดินมาใกล้พลางยืนมองเราทั้งคู่ น้านิดหันไปถามว่าเที่ยวไหม ชายหนุ่มเหลือบมองมาทางโอ๋ ก่อนหันไปถามน้านิดว่าแถวนี้ห้องเป็นยังไง

“ห้องดีๆ มีมั้ย?”

“มีจ้ะพี่ แต่แพงหน่อย ไปกะหนูเดี๋ยวพาไป ห้องใช้ได้อยู่ชั่วโมงสี่สิบ” น้านิดแทนตัวเองว่าหนู โอ๋ลงนั่งเก้าอี้แทนแก สองคนนั่นเดินควงกันไป ชายหนุ่มหันมามองทางโอ๋ก่อนกระซิบถามอะไรบางอย่างกับพี่นิด โอ๋ไม่ได้ยินหรอก บางทีชุดนักศึกษาอาจไปกระตุ้นเขาก็ได้

“มันถามว่า เธอขายด้วยเหรอ ก็ว่าขาย มายืนในตรอกเนี่ยขายทั้งนั้นแหละ” น้านิดหัวเราะร่าเล่นคำทะลึ่ง “แหม่มาตรอกกะหรี่ คิดว่าจะเจอนักเรียนจริงๆ ฉันก็เคยเป็นนักเรียน ถ้าอยากแบบนั้นก็ต้องลงทุนเอาชุดมาใส่ ไอ้พวกนี้ชอบนอนกะเด็ก” น้านิดเติมหน้าเติมคิ้วกับกระจกรถที่จอดเรียงเป็นตับ พวกเรานั่งซุกกันหน้ารถท้ายรถแบบนี้ มันปลอดภัยดี

แล้วตอนตีหนึ่งนั่นเอง โอ๋เห็นหนุ่มหน้าตี๋เดินมาออกมาจากร้านขายของชำ แสงไฟจากร้านส่องหน้ามันชัด มันเดินเลียบบาทวิถีมาทางที่โอ๋นั่งอยู่ ไฟจากเสาถนนส่องเห็นมันเดินๆ หยุด ตามรายทางมีผู้หญิงนั่งประปราย

เป็นมันแน่ๆ โอ๋ลุกขึ้นไปยืนหลบมุมมืดข้างตึก มันเดินมากับผู้หญิงคนหนึ่ง ระยะห่างแค่เมตรเดียวโอ๋จำมันได้แม่น หล่อนเดินตามมันไปห่างๆ ก่อนเห็นทั้งสองเข้าโรงแรมไป โอ๋รอมันตรงนี้ ก่อนจะโดนผู้หญิงที่ยืนอยู่ก่อนมาไล่ เพราะคิดว่าจะมาแย่งลูกค้า หล่อนเลยเดินหนีเข้าโรงแรมตามไป จ่ายเงินเฮียแล้วอ้างว่าขอหาแขกอยู่ล็อบบี้

ประตูห้องหนึ่งเปิดแง้ม หนุ่มตี๋นอนอยู่บนเตียง ผู้หญิงเดินไปขอถุงยางอนามัยตรงเคาน์เตอร์รับแขก มันนอนเอกเขนก มิน่าล่ะมันดูไม่ตื่นตกใจตอนที่ถามมันว่าไปเที่ยวไหม แต่มันแสร้งทำหน้างง

ประตูห้องเปิดค้าง สายตามันมองออกมา แต่โอ๋คิดว่ามันไม่เห็นเพราะตัวเองอยู่ในมุมมืด หล่อนคิดเอาเองว่ามันไม่เห็นสินะ แต่ที่จริงมันเห็น มันเห็นโอ๋ตั้งแต่ริมทางเดินนั่นแล้ว แต่หล่อนไม่รู้…

มันรู้แล้วว่ามีคนแอบมองมัน เพียงแต่มันเองก็จำไม่ได้หรอกว่าโอ๋คือผู้หญิงคนนั้นที่ท่าเรือ ต่างคนต่างก็คาดเดาไปต่างๆ นานา ทั้งสองก็เป็นเพียงคนแปลกหน้ากันเท่านั้น อย่างความลับของโอ๋ก็ไม่รู้ว่าใครกันที่โพสต์ หญิงสาวเองก็ไม่มีทางที่จะไปตามหาชื่อบัญชีปลอมเหล่านั้นได้ ชีวิตจริงมันยุ่งยากกว่าหนังเสียอีก

ตอนนี้ ขณะที่หนุ่มหน้าตี๋นอนเปลื้องผ้าอยู่บนเตียงก่อนที่คู่ขามันจะเดินมางับประตู มันกำลังคิดอะไรอยู่? มันถึงได้มองหญิงสาวอย่างใคร่รู้ ยิ่งวัยรุ่นมาทำงานแบบนี้อาจเตะตาใครหลายคน อย่างที่ว่าตรอกนี้มันคนมีอายุทั้งนั้น หรือมันชอบสาววัยรุ่น

แล้วทำไมวันนั้นมันถึงไม่ไปนอนกับโอ๋ล่ะ?

 

ดึกแล้ว ทั่วทั้งตรอกเงียบสงัด ถึงแม้จะมีสาวบริการจับกลุ่มกันอยู่ ก็เพียงแต่เล่นโทรศัพท์แก้เซ็ง รอว่าจะมีแขกอีกสักคนไหม พอได้แล้วก็รออีก วนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเช้า จนกว่าคนทั่วไปจะตื่นจากการหลับใหล

โอ๋เดินเตร็ดเตร่ไปยืนรอรถเมล์เที่ยวตีสี่ครึ่ง เช้าแบบนี้ยังไม่มีเรือข้ามฟาก มีคนยืนรออยู่สองสามคน พวกทำงานเช้ามืด ตื่นมารอรถเมล์เที่ยวประจำ ชายมีอายุคนหนึ่งมองหน้าโอ๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าสงสัยทั้งที่หล่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดาแล้ว หรือว่าหล่อนยังดูมีพิรุธ โอ๋ส่งยิ้มหวานให้ ตาลุงนั้นหันกลับไป มีเสียงบ่นเบาๆ ไม่มีทางฟังได้ยิน แล้วแกก็เหลือบมาจ้องอีกครั้ง คงรู้ว่าหล่อนขายตัว – ใช่ คนที่เที่ยวผู้หญิงบ่อยๆ ต้องดูออก ยิ้มเชิญชวนแบบนี้เป็นกะหรี่ทั้งนั้น เที่ยวมั้ยลุง โอ๋นึกถึงคำที่เจ๊สอน

“ถ้าอยากให้แขกพอใจหัดยิ้มแย้มจริงใจหน่อยสิลูก” เจ๊จิ๋มเคยบอกไว้เพราะโอ๋มักทำหน้าหงุดหงิด “ก็หนูไม่ได้เป็นกะหรี่นี่ – ไม่ได้จริงจังนะเจ๊” “งั้นก็พยายามหน่อยซี ทำหน้ายังกับศพ บอกบุญไม่รับ แขกหนีหมด ตายห่ะกันพอดี”

ทำหน้าราวกับศพงั้นหรือ? ถ้าเจ๊ได้เห็นหน้าบวมฉุใต้สะพานแล้วละก็…

 

โอ๋นั่งเท้าคางหน้าต่างรถเมล์ รถเคลื่อนผ่านสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาพอดี เสียงเรือบรรทุกสินค้าแล่นอยู่ สายตาจับจ้องไปที่คลื่นน้ำดำมืดมิด แม่น้ำทั้งกว้างและยาวไม่มีจุดสิ้นสุด แสงไฟจากท่าเรือส่องให้เห็นระลอกคลื่นกระแทกจนโป๊ะเรือโยกโคลงเคลง จังหวะน้ำซัดขึ้นสูงจนฟองแตกกระจาย มีคนมานั่งบนโป๊ะแล้ว มองจากไกลๆ น่าจะเป็นผู้ชาย

โอ๋หันมองอย่างสงสัย รถเมล์เคลื่อนเร็วขึ้น จากบนสะพานมองลงไปที่ท่าเรือไม่ไกลมาก พอจะเห็นว่าเป็นผู้ชาย ‘นั่นมันไอ้หนุ่มหน้าตี๋นี่?’ ตั้งแต่แอบตามมันเข้าไปในโรงแรมโอ๋ก็เปลี่ยนใจออกมาเพราะเกิดจิตตกที่จู่ๆ ไปสะกดรอยมัน ไอ้นี่มันดูเพี้ยนๆ แล้วนี่มันมายืนบนโป๊ะแต่เช้ามืด มันคิดจะทำอะไร?

แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ก่อนรถเมล์เร่งเครื่องลงสะพาน ก่อนภาพชายหนุ่มจะหวิดสายตา โอ๋เห็นมันพุ่งกระโดดลงน้ำ โอ๋เห็นจริงๆ ก่อนที่จะร้องกรีดออกมา…

“ไอ้เหี้ยคนโดดน้ำ!” โอ๋ลุกพรวดยื่นหัวออกนอกรถ มือไม้ชี้ไปทางแม่น้ำ “พี่ๆ จอดๆ คนตกน้ำ!”

กระเป๋าร้องด่าว่าเป็นบ้าอะไร พอบอกว่าเห็นคนตกน้ำ ก็ยังทำไม่เชื่อ สีหน้าชวนหงุดหงิด นี่ไม่ใช่เวลามึงจะมาล้อเล่น เช้ามืดแบบนี้ไม่มีใครอยากมาทำงานหรอก แต่หล่อนเห็นมันกระโดดก่อนที่ขอบสะพานจะบังตา แต่ระยะห่างขนาดนี้ใครกันจะสนใจ เดี๋ยวคนแถวนั้นก็ช่วยกันเอง มึงอยากให้รถเมล์เลี้ยวกลับไปเหรอ?

“โอ๊ยน้องจะบ้าเหรอ มันคนละโยชน์กัน” กระเป๋าเดินส่ายมาส่องที่หน้าต่าง

“มันโดดน้ำเล่นเปล่า ไม่เห็นอะไรแล้ว”

แน่ล่ะสิ แม่น้ำเวลานี้ทั้งดำทั้งมืด แสงไฟจากโป๊ะก็ส่องแทบไม่เห็น เอาจริงโอ๋ก็ไม่รู้จะแหกปากไปทำไม ถ้ามันกระโดดจริง มันก็คงเอาตัวรอดได้ แล้วมันจะกระโดดไปเพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย

“หรือน้องอยากลงไปดูหือ?” โอ๋หน้านิ่งมองพี่กระเป๋ารถเมล์ หน้าหล่อนมีส่วนคล้ายบรรดาสาวใหญ่แถวคลองหลอดอยู่เหมือนกัน ดูร้ายๆ แต่ใจดี โอ๋พยักหน้าตอบรับ ถ้ายังไม่หุบปากมีหวังได้ถูกไล่ลงรถเมล์แน่ๆ

จำได้ถนัดตาว่าเป็นหนุ่มตี๋นั่น โอ๋นั่งลงอย่างหมดแรง ความรู้สึกสิ้นหวังถาโถม แข็งขาอ่อนเปลี้ย รถเมล์วิ่งตีโค้งจนหัวกระแทกหน้าต่างจนโอ๋ร้องด่า เสียงคนขับพูดกับกระเป๋า

โอ๋นั่งกุมหัวเพราะเจ็บ ไม่น่าไปเห็นอะไรแบบนั้น นี่หล่อนจะเป็นสักขีพยานอีกศพแล้วงั้นหรือ? พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรนะ หนุ่มหน้าตี๋จะเป็นข่าวไหม ต้องเป็นมันแน่ๆ โอ๋มั่นใจถึงขนาดพูดออกมา “มันนั่นแหละ มันคิดบ้าอะไรของมันวะ”

พี่กระเป๋ารถเมล์เตือนให้โอ๋สงบสติอารมณ์ แล้วเขย่ากระบอกตั๋วแรงๆ ใส่หน้าหล่อน…สวบ สวบ สวบ แกร๊กๆ

 

แดดเช้าทอดน้ำระยิบ เรือข้ามฟากโยกโคลงเคลง หัวเรือตัดคลื่นตีฟองขาวขุ่น เสียงจอแจคนบนเรือเป็นเช้าที่สดใส แม่น้ำสีเขียวเต้นกระทบแสง สาหร่ายเขียวเป็นแผ่นลอยม้วนไปมา อากาศยามเช้าที่ร่าเริง แต่โอ๋นั่งนิ่งไร้เรี่ยวแรง หน้าเบื่อโลก ขมับยังปวดหนึบๆ

หล่อนนั่งหลับตา เบือนหน้าหนีจากน้ำ ไม่อยากมอง ไม่รู้ว่าจะมีซากอะไรโผล่ขึ้นมาบ้าง นึกถึงเด็กวัยรุ่นเอามือราน้ำวันก่อน ไม่อยากจะคิดถ้านิ้วมันไปเกี่ยวเอาเศษผมคนตายติดขึ้นมา มันจะคิดว่าเป็นอะไร เส้นผมก็คือเส้นผม แต่ถ้ามันรู้ว่าหลุดมาจากหนังหัวคนที่แช่น้ำเป็นอาทิตย์จนเปื่อยยุ่ย…

นึกภาพเป็นหนังสยองขวัญสักเรื่อง เส้นผมเป็นกระจุกลอยตามคลื่นน้ำ หลักฐานฆาตกรรม เสียงดนตรีเร้าใจ เอาแบบหนังไซโคของฮิตช์ค็อก ก้อนผมดำลอยน้ำมาติดมือ พลางพูดว่า “เส้นผมนี้เป็นของผู้หญิงหรือผู้ชาย…มีหนังหัวติดมาด้วย โอ้ พระเจ้า…” เส้นผมคนกว่าจะย่อยสลายไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ขนาดศพมัมมี่ยังเป็นพันปี มันนานกว่าการสร้างประเทศเราเสียอีก

โอ๋ลืมตาเห็นเด็กผู้ชายมอปลายหน้าเนิร์ด เอื้อมมือลงไปราน้ำจนกระเซ็นมาโดนหน้าจนไหลย้อย

“เห้ย! ไอ้เด็กบ้า มึงรู้มั้ยว่าน้ำมันสกปรกแค่ไหน เมื่อวานมีคนกระโดดน้ำตาย!” โอ๋ลืมตัวตวาดอย่างดัง จนนักศึกษาบนเรือตกใจนิ่งเงียบ ทุกคนหันมาจ้องหล่อนเป็นสายตาเดียว แต่แล้วเสียงดังเซ็งแซ่กลับมา ทุกคนหันไปคุยกันต่อ

ไอ้เด็กนั่นลุกหนีทันที โอ๋เอามือปาดน้ำออกจากหน้าผาก กลิ่นน้ำเหม็นหืนเข้าจมูก คอหอยของหล่อนเริ่มตีบตัน อยากขย้อนของเหลวออกมา

ก่อนหลับตากลั้นหายใจ โอ๋คิดถึงหนุ่มตี๋ ‘เมื่อคืนมันจะตายไหมนะ?

 

คืนต่อมาโอ๋มายืนที่โป๊ะเกิดเหตุ เสาไฟส่องสว่างเห็นน้ำไหวเป็นคลื่นซัดกระแทกโป๊ะจนโคลงสั่น คืนนี้น้ำขึ้นมาก ถ้าหล่อนหล่นลงไปไม่มีทางได้กลับขึ้นมาแน่ๆ ในหัวมีแต่เรื่องจมน้ำตาย พยายามสลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ยืนคุยกับเจ๊แล้วเหลือบไปเห็นคลองคูน้ำก็หวาดกลัวขึ้นมา ถ้าตกลงเราคงตายลูกเดียว หยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้ มันมาเป็นช่วงๆ ทำยังไงก็หนีไม่พ้นเรื่องความตาย

โอ๋เดินไปนั่งม้าหินอ่อน ในความมืดสลัวอาศัยเพียงแสงจากโป๊ะไกลๆ แบบนี้ ใครมาเห็นหญิงสาวร่างบางในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ คงสงสัยว่ามาเตร็ดเตร่อะไรแถวนี้ หล่อนไม่กลัวหรอกเพราะปกติการอยู่มุมมืดก็เป็นเรื่องคุ้นเคยไปเสียแล้ว

เสียงคนผิวปาก โอ๋หันมองต้นเสียงแต่ก็ไม่เห็น ใครสักคนในความมืดอาจหยอกเล่น หล่อนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ เพราะเรื่องคนกระโดดน้ำนั่นมากกว่า แต่หล่อนยังไม่เห็นข่าว หมายความว่าเขายังไม่ตายสิน่ะ เสียงผิวปากโหยหวนมาอีก โอ๋ลุกเดินจ้ำอ้าวไปประจำตรอกที่หล่อนควรจะอยู่

อย่าลืมว่าภาระยังมีอยู่

 

แล้วเรื่องที่คิดก็เป็นจริง มีข่าวศพลอยมาติดท่าน้ำของชาวบ้าน โอ๋เห็นข่าวในโทรศัพท์ ไม่มีรายละเอียดมากนัก แค่ชาวบ้านมาเห็นซาก ตอนแรกคิดว่าเป็นหมาตาย แต่พอเอาไม้เขี่ยออกก็เห็นเป็นร่างคนขึ้นอืดบวม

ภาพข่าวมีเซ็นเซอร์ตรงหน้า แค่นั้นก็หลอนจนจินตนาการไปไกล ร่างบวมอืด กว่าจะตายทุรนทุราย โอ๋ไล่อ่านคอมเมนต์เพื่อหาข้อมูล ไม่มีใครรู้จักหรือข้องเกี่ยว หล่อนพยายามซูมภาพดูเสื้อผ้า หนุ่มตี๋มันแต่งตัวแบบไหนกันนะ คนหนุ่มก็เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ไม่ค่อยผิดแปลกไปจากนี้ ในรูปก็แบบนั้น เสื้อและยีนส์…

“แล้วมันกระโดดน้ำทำไมล่ะ?”

“คนมันอยากตายนะซีถึงทำแบบนั้น คนดีๆ ที่ไหนจะกระโดดแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลางคืน! บ้า ป่านนี้ไม่รอดดอก – แล้วรู้จักกันเหรอ?” พี่นิดถามอย่างแปลกใจ – น้ำเสียงแกดูสงสัยมากกว่าแค่อยากรู้ โอ๋ได้แต่ยิ้มแหย

“เคยเอากะมันแล้วเหรอ?” แกลดเสียงลง

“ม่าย ไม่เคยพี่นิด แค่เคยทักๆ กันน่ะ”

พี่นิดอมยิ้มแบบคนจริงใจ

“แล้วไปติดใจอะไรมันล่ะ? อย่าเชียวน่ะ เราคนขายกาย แต่อย่าให้ใจเขาไป ไม่งั้นเสียใจภายหลัง” พี่นิดพูดเสร็จแล้วหันไปทักผู้ชายคราวเดียวกัน “พี่เที่ยวมั้ยคะ?” หนุ่มใหญ่กระชับเสื้อแจ๊กเก็ตให้มั่น แกเดินเอียงๆ มาหา

“อุ้ย ไหวไหมนั่น…ค่อยๆ เดินค่ะพี่” พี่นิดเข้าไปเจรจาก่อนเดินจูงมือตามกันไป

โอ๋มองด้านหลังผู้ชายก็นึกบางอย่างจนสะดุ้ง เสื้อผ้าแบบเดียวกับศพที่ติดท่าน้ำ ภาพยังติดตาหล่อนอยู่ โอ๋รีบเข้าไปดูข่าวนั่นอีก ก่อนจะเห็นว่ามันเหมือนกันจริงๆ

โอ๋เขียนคอมเมนต์ว่า ‘กลางดึกคืนก่อนเห็นคนโดดน้ำที่โป๊ะท่าเรือ’ แต่ตัวเองอยู่บนรถเมล์ข้ามสะพานพอดีจึงไม่ได้ช่วย แล้วไม่นานก็มีคอมเมนต์ว่า คิดไปเองเปล่า – หิวแสงหรือ – มัวแต่ดูไม่ลงไปช่วยเล่า!

โอ๋ไม่แปลกใจหรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องถูกด่า หล่อนอยากไปช่วยแต่รถเมล์มันจอดที่ไหนกัน แล้วโป๊ะท่าเรือก็อยู่คนละฟากแม่น้ำ ใครก็ช่วยไม่ทันหรอก

หรือพวกมึงจะกระโดดลงรถแบบที่กูคิด

 

วันนี้ไม่เห็นเจ๊จิ๋ม พี่นิดก็หายไปนาน โอ๋เล่นโยคะบนเก้าอี้พลาสติก มองคนเดินไปมา ตอนนี้หัวค่ำอากาศดี คนเดินเที่ยวคึกคัก สามคนพ่อแม่ลูกพาเดินมา เด็กชายราวสี่ขวบหันมามองโอ๋ที่นั่งอยู่ในมุมมืด เขาไม่รู้หรือว่าแถวนี้มันเป็นแหล่งโลกีย์ คนเป็นเมียเริ่มทำหน้าปุเลี่ยนๆ โอ๋นั่งยิ้ม สงสัยตัวผู้ชายอาจเคยมาเที่ยวแถวนี้ หน้าตาแกก็ดูคุ้นๆ อยู่ มองใครก็คุ้นหน้าคุ้นตาไปหมด ตั้งแต่คราวที่แล้วแล้ว

มีคนมากก็จริง แต่ไม่มีลูกค้าเลย โอ๋ยังไล่อ่านคอมเมนต์ หล่อนก้มไม่สนใจใครแล้ว รอดูเรื่องราวในโลกอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆ มีคนมาด่าแล้วก็มีคนมาปลอบใจ หล่อนไม่คิดจะตอบใครหรอก แต่แล้วก็มีคนมาตอบโอ๋ ที่จริงไม่ใช่การตอบหรอก มันเป็นการด่าอีกนั่นแหละ ด่าแบบแสบๆ คันๆ หล่อนชอบ มันอยากด่าก็ให้ด่าไป ที่คิดแก้แค้นก็คงไม่มีวันได้เจอมันหรอก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือใคร คนไหน ช่างแม่มันเถอะ

หมดช่วงคึกคักแต่ไม่มีใครหิ้วหล่อน เหลือเชื่อจริงๆ เด็กสาวอย่างโอ๋กลับขายไม่ออก ไม่ได้ทำหน้าที่กะหรี่เลย โอ๋หย่อนก้นลงนั่งที่เดิม ไถหน้าจอโทรศัพท์ มีเตือนจากเฟซบุ๊ก คนมาตอบคอมเมนต์ โอ๋กดดูชื่อโปรไฟล์ก่อน รูปหน้าหมายิ้มเยาะ คราวที่แล้วไม่รู้ใช้รูปอะไร เฟซบุ๊กปลอมมักใช้ภาพประหลาดๆ พวกแอ็กเคาต์หลุม มันเขียนด่าโอ๋ว่า

‘อีกะหรี่ดีแต่ปาก ปากสว่างตลอดนะมึง’

โอ๋กดอิโมจิห่วงใยให้

โอ๋รอว่ามันจะตอบอะไรกลับมา

แต่ไม่มี มันคงเห็นว่าเรากดห่วงใยมัน…

‘อีกะหรี่ดีแต่ปาก ปากสว่างตลอดนะมึง’ ประโยคเดิมเลย – แต่มันเขียนยาวขึ้นเพื่อให้รู้ว่ามันยังมีตัวตน แสดงว่ามันยังไม่ตาย โอ๋รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที อย่างน้อยผู้ชายสเป๊กที่หล่อนชอบก็ยังอยู่ มันกระโดดน้ำแต่ไม่ตายเหมือนคนใต้สะพาน เป็นหนุ่มตี๋แน่ๆ ที่กระโดด ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน บางทีวันที่เจอมันครั้งแรกที่โป๊ะ มันอาจกำลังหาทางกระโดดน้ำก็เป็นได้

โอ๋รู้สึกดีกับมันแม้ว่าเคยเจอเพียงครั้งเดียว การเดินเคียงคู่กันในตรอกตอนแสงสลัวๆ มือของเราเบียดสัมผัสกันเป็นจังหวะ เหมือนคนที่เพิ่งจีบกันใหม่ๆ ยังไม่กล้าจับมือถือแขน ถ้าเย็นวันนั้นเราสองคนจบลงในห้องเช่าชั่วคราว มันอาจไม่มีความหมายอะไรก็เป็นได้ นี่ถ้าบรรดาเจ๊ทั้งหลายรู้เรื่องนี้ คงหัวเราะกันตาย ถึงกะหรี่จะมีหัวใจแต่ควรห่วงตัวเองมากกว่า โอ๋คงโดนสวดแบบเดิมอีกแน่

ทุกวันนี้ยังหวังว่าจะได้เจอกันบ้าง เห็นหน้าสักครั้งก็ยังดี เห็นให้แน่ใจว่ามันไม่ได้ลอยอืดแบบศพแรก •