ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยไข้เหลืองของประเทศอูกันดา พบ “ไวรัสซิกา” เป็นครั้งแรกในลิงที่ประเทศอูกันดา ทวีปแอฟริกา เมื่อปี 1947 ก่อนจะพบการติดเชื้อในมนุษย์ครั้งแรกในปี 1952
เชื้อไวรัสดังกล่าวถูกตั้งชื่อว่า “ซิกา” ตามชื่อ “ป่าซิกา” ถิ่นอาศัยของลิงที่พบเชื้อ
ในช่วงแรก เชื้อไวรัสซิกา เชื้อที่มียุงลายเป็นพาหะเช่นเดียวกับไข้เลือดออกและไข้เหลือง ไม่ได้รับความสนใจมากนักเนื่องจากอาการป่วยเป็นเพียงอาการไข้ ผื่นคันเพียงเล็กน้อย และมีการพบผู้ติดเชื้อจำนวนน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในแถบแอฟริกาและเอเชีย โดยเฉพาะหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ รวมไปถึงประเทศไทยด้วย
โดยนับตั้งแต่ค้นพบเชื้อจนถึงปี 2007 มีรายงานยืนยันผู้ติดเชื้อเพียง 14 ราย
หลังจากนั้นเชื้อไวรัสซิกาพบการระบาดนอกพื้นที่แอฟริกาและเอเชียเป็นครั้งแรกในปี 2007 ในประเทศไมโครนิเซีย ก่อนที่จะแพร่ต่อไปยังเฟรนช์โพลินีเซีย เกาะดินแดนของฝรั่งเศสในมหาสมุทรแปซิฟิก อีสเตอร์ไอซ์แลนด์ ของชิลี หมู่เกาะคุก ของนิวซีแลนด์ รวมไปถึงประเทศนิวคาลิโดเนีย อาณานิคมพิเศษของประเทศฝรั่งเศส ในช่วงระหว่างปี 2013 ถึง 2014
ซึ่งก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญนัก
การระบาดครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่ประเทศบราซิล และอีกกว่า 70 ประเทศ เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2015 มีประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนติดเชื้อ ส่งผลให้ประเทศอเมริกาใต้แห่งนี้ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุข
ยิ่งกว่านั้นยังพบเด็กกว่า 1,600 คนที่เกิดมามีความผิดปกติด้วยอาการศีรษะและสมองเล็กกว่าปกติ และยังพบความเชื่อมโยงการติดเชื้อไวรัสซิกากับโรคทางระบบประสาทรุนแรงอย่าง “กิลแลง บาร์เร” รวมถึงพบความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการทำลายเซลล์สมองในผู้สูงอายุด้วย
หลังยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในบราซิลเริ่มลดลง ก็เกิดการระบาดขึ้นในประเทศสิงคโปร์เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา
เพียงสัปดาห์เดียวนับตั้งแต่มีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสซิการายแรก ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสซิกาในประเทศเล็กๆ ที่ได้ชื่อว่ามีมาตรฐานด้านสาธารณสุขสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็เพิ่มสูงขึ้นเกินกว่า 250 รายไปแล้ว
เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความห่วงกังวลถึงสัญญาณเตือนบางอย่างที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เชื้อไวรัสแพร่ระบาดไปทั่วภูมิภาคเอเชีย อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างโรคซาร์ส ไข้หวัด 2009 หรือโรคเมอร์ส ก่อนหน้านี้
ผลการวิจัยโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแลนคาสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ตีพิมพ์ในวารสารแลงเซตอินเฟกเชียสดิซีส เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า ประชากรโลกราว 2,600 ล้านคน หรือกว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลก ที่อาศัยอยู่ในแอฟริกา เอเชีย และแปซิฟิก มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสซิกา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคศีรษะเล็กในเด็ก และโรคอันเกี่ยวเนื่องกับระบบประสาทนี้ได้
ขณะที่รายงานจาก ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (อีซีดีซี) ของสหรัฐระบุว่า สิงคโปร์ไม่ใช่ประเทศเดียวที่พบไวรัสซิกาเท่านั้น แต่ยังพบผู้ติดเชื้อในมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ รวมไปถึงไทยด้วยในช่วงเวลาเดียวกัน
ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเพราะอะไรจึงเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสซิกาในสิงคโปร์ขึ้น แต่กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสิ่งแวดล้อมแห่งชาติของสิงคโปร์แถลงเมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาระบุว่า เชื้อไวรัสซิกาที่ระบาดนั้นวิวัฒนาการมาจากเชื้อไวรัสซิกาที่เคยระบาดในเอเชียก่อนหน้านี้ และไม่ได้เป็นเชื้อไวรัสซิกาที่มาจากพื้นที่ระบาดในอเมริกาใต้แต่อย่างใด
ทว่า คำถามสำคัญก็คือ “ไวรัสซิกา” จะระบาดลุกลามไปมากกว่านี้หรือไม่?
นายแพทย์เอง ออง อุย รองผู้อำนวยการโครงการโรคติดต่ออุบัติใหม่ โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยดุ๊ก-มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ระบุว่า สภาพเมืองและจำนวนประชากรของประเทศในภูมิภาคเอเชียนั้นมีเงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบ สำหรับการขยายพันธุ์ของยุงลาย พาหะของโรคระบาดอันตรายหลายโรคที่รวมไปถึงเชื้อไวรัสซิกาด้วย
“ในเอเชีย มีเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรระหว่าง 5 ถึง 10 ล้านคน ยุงลายขยายพันธุ์ในสภาพแวดล้อมเมืองที่หนาแน่นแบบนี้” เอง ออง อุย ระบุ และว่า “เมื่อมีจำนวนมนุษย์และจำนวนยุงหนาแน่น นั่นเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของทั้งไข้เลือดออก และไวรัสซิกา”
ซีเอ็นเอ็นรายงานว่าสิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกเป็นอย่างดี ในปี 2015 สิงโปร์ ทุ่มงบประมาณถึง 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2,500 ล้านบาท เพื่อทำงานวิจัย ป้องกันและให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก รวมไปถึงมาตรการต่างๆ อย่างการสนับสนุนให้ประชาชนใช้อุปกรณ์กันยุง รวมไปถึงประชาสัมพันธ์วิธีการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงอย่างเข้มข้น ทว่า นั่นดูเหมือนจะไม่ได้ผลในเวลานี้
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ที่ระบุด้วยว่า จากการสำรวจความสามารถในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค โดยพิจารณาจากความสามารถในการรับผู้ป่วย จำนวนคนที่เดินทางเข้าออกพื้นที่ระบาด จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่อาจติดเชื้อ พบว่า ประเทศอย่างอินเดีย จีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไนจีเรีย เวียดนาม บังกลาเทศ เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดของไวรัสซิกาสูงที่สุด
งานวิจัยดังกล่าว นอกจากจะเป็นสัญญาณเตือนสำหรับประเทศเหล่านี้ให้เตรียมความพร้อมป้องกันการระบาด และใช้ทรัพยากรทางสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดแล้ว
ยังเป็นสัญญาณเตือนไปยังประชาคมโลกด้วยว่า “ไวรัสซิกา” ซึ่งกำลังจะลงหลักปักฐานในเอเชียเป็นปัญหาใหญ่มากกว่าที่คิด