ทราย เจริญปุระ : “ปีใหม่นี้ถ้าพี่ว่าง พี่มาหาหนูนะ”

"มนุษย์บริกร" (Jakob Von Gunten) เขียนโดย โรเบิร์ท วัลเซอร์ แปลโดย พร่างดาว นุประดิษฐ์ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดย ไลต์เฮาส์ พับลิชชิ่ง, 2560

“หนูไม่ไปไหนหรอกค่ะ อยู่นี่แหละ พี่จะมามั้ยคะ”

เข้าเดือนธันวาคมแล้ว ธุระปะปังที่จำจะต้องสะสางให้เสร็จสิ้นดูจะถาโถมเข้ามามากกว่าปกติ หรืออาจจะเป็นแค่ความรู้สึกของเดือนสุดท้ายก่อนปีนี้จะผ่านไป แต่ยังมีอะไรคั่งค้างเหลืออีกมากมายที่ยังไม่แม้แต่จะเริ่มทำ

งานการนั้นเข้าที่เข้าทางดีอยู่

อาชีพการงานก็ลงตัวไม่ลำบาก

สุขภาพก็ต้องถือว่าอยู่ในแดนบวกมากๆ เพราะปีนี้ฉันเพิ่งหาหมอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งที่แต่ก่อนนี่ ได้เดินเข้าเดินออกโรงพยาบาลจนเกือบจะเป็นบ้านหลังที่ 2

แน่นอนว่าฉันรักษาสุขภาพขึ้นมากแล้ว นอนเร็วขึ้น มีวินัยกับตัวเองมากขึ้น ไม่นอนดึก ดื่มโหด โหลดงานเหมือนก่อนๆ เพราะรู้ว่าเวลาร่างกายมันพังพินาศขึ้นมาแล้วมันช่างเสียเวลาซ่อมเหลือจะรุงรัง ไหนจะเรื่องสุขภาพใจที่ก็ยังต้องกินยาต่อเนื่องไป ยังไม่เห็นจังหวะจะได้หยุดยา

การหย่อนใจเล็กๆ น้อยๆ อย่างนัดเพื่อนดื่มบ้างจึงเป็นกิจกรรมสบายๆ สำหรับฉัน

 

ฉันไม่ชอบร้านที่คนมากเกินไป ลึกลับเกินไป หรูหราเกินไป และอะไรต่อมิอะไรที่เกินๆ ไปอีกหลายอย่าง ร้านที่ฉันไปก็เลยตกที่นั่งร้านประจำของฉันไปโดยอัตโนมัติ เพราะด้วยความถี่ระดับสัปดาห์ละครั้ง บวกกับอาชีพฉัน ที่เสนอใบหน้าของฉันให้ใครต่อใครได้เห็นตามสื่อต่างๆ อยู่ตลอดกว่ายี่สิบปี การที่พนักงานเสิร์ฟจะจดจำฉันได้ทั้งหน้าและชื่อจึงถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก

พนักงานนั้นจำฉันได้ทุกคน

แต่ฉันจำพนักงานได้ไม่กี่คน

สายตาสั้นเมื่อบวกกับฤทธิ์ของเบียร์นั้นทำหน้าที่ลบข้อมูลได้อย่างวิเศษ ใบหน้า ชื่อ รายละเอียดต่างๆ ข้าวของจะถูกลืมเสมอกัน

“การแต่งเครื่องแบบช่วยลดระดับและยกระดับพวกเราขึ้นในคราวเดียวกัน พวกเราดูเหมือนคนขาดอิสระ น่าอาย แต่เมื่อสวมแล้วก็ทำให้พวกเราดูดีขึ้นด้วย และช่วยแยกพวกเราออกจากกลุ่มคนที่ตกต่ำจนถึงขั้นต้องใส่เสื้อผ้าสกปรกและขาดวิ่น โดยส่วนตัวแล้วผมชอบการแต่งเครื่องแบบพอสมควร-มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมมั่นใจก็คือชีวิตในวันข้างหน้าของผมจะกลวงโบ๋เหมือนกับเลขศูนย์ที่กลมเกลี้ยง ผมจะเป็นชายแก่ที่คอยรับใช้บรรดาเด็กหนุ่มมารยาททรามที่ถูกตามใจจนเคยตัว ผมอาจกลายเป็นขอทาน หรือไม่ก็ตายอย่างอนาถ”*

“หนูเป็นลูกคนสุดท้องค่ะ มีพี่อีก 6 คน”

น้องพรพูดเสียงใสระหว่างเปลี่ยนแก้วและรินเครื่องดื่มใหม่ให้ฉัน

พรเป็นคนแรกๆ ในร้านที่ฉันจำได้ เพราะไม่เคยต้องให้ฉันชะเง้อชะแง้คอยนาน แต่หันไปก็เหมือนจะได้สบตาเธอพอดีแทบทุกครั้ง พรยิ้มแย้ม กุลีกุจอ และมีจังหวะที่ดีมากพอที่จะไม่ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของลูกค้า โดยไม่ทอดทิ้งมองเหม่อไปในอากาศว่างเปล่าข้างหน้าเพียงอย่างเดียว พรไม่ได้ถามเรื่องงานหรือถามว่าคนที่มากับฉันคือใคร พรปล่อยมุขให้บทสนทนาไหลลื่นได้ระหว่างจังหวะรออาหารหรือเครื่องดื่ม

ในวันเซ็งๆ วันหนึ่ง ฉันเลยชวนเธอคุยเล่นๆ

 

ฉันเป็นคนไม่มีจิตบริการ

ไม่มีแบบ-ไม่มี- คือถ้าจะเป็นเรื่องน้ำใจถามไถ่ หรือเปิดประตูค้างไว้เวลามีคนเดินตามหลังนี่ฉันมีเป็นปกติ แต่เรื่องการกุลีกุจอ แกะขนมให้คนนั้น ปอกผลไม้ให้คนนี้ ฉันนั้นไม่มีเอาเสียเลย อย่างดีก็ยื่นถุงขนมให้แล้วไปปอกกันเอาเอง ฉันเลยไม่คิดจะมีสินค้าหรือบริการอะไรเป็นของตัวเองที่จะต้องไปดูแลใคร เพราะฉันประเมินผู้คนไม่เคยถูกเลย ว่าแค่ไหนจึงจะเรียกว่าบริการดี แค่ไหนคือมีน้ำใจ แค่ไหนคือการทำหน้าที่อย่างมืออาชีพ

ยิ่งมีคำขวัญประเภท “ลูกค้าคือพระเจ้า” ด้วยแล้ว ฉันยิ่งรู้สึกพิลึก เพราะคิดว่ามันควรจะเป็นคำขวัญที่เจ้าของบริการควรเอาไว้บอกกับตัวเองมากกว่าลูกค้าบอกตัวลูกค้าเองอย่างที่หลายๆ คนเป็นกัน

เราปฏิบัติต่อพระเจ้าก็ด้วยการดูแล ปัดกวาดเช็ดถูรูปบูชา ไหว้สาเอาแต่พอสมควร ไม่ใช่ปล่อยให้พระเจ้ากระทืบตีนเร่าๆ เอาแต่ใจ ว่าจะกินนั่น จะดื่มนี่ เอาเดี๋ยวนี้เอาตอนนี้ ไปฆ่าแพะตัวนั้นมาให้กูกินเสียดีๆ แล้วจงฆ่าคนข้างบ้านมาสังเวยด้วยเสียอีกจึงจะพอใจ

พรก็ดูแลฉันแบบนั้น เหมือนกับลูกค้าทุกๆ คนในอาณาเขตของเธอเธอเห็นทุกคนเสมอ เธอยิ้มแย้มหัวเราะ เฮฮาไปกับการแซวของบางโต๊ะ ขอโทษขอโพยลูกค้าบางโต๊ะ เสิร์ฟและเก็บ

 

“หนูมาจากลาวใต้”

“ตกลงมาจากลาวหรือจากใต้”

“แหม ลาวใต้น่ะค่ะ”

“รู้ๆ แบบ-ปากเซ จำปาสักอะไรงี้หรือเปล่า”

“พี่รู้จักด้วย! เคยไปเที่ยวไหมคะ”

“ไม่เคยหรอก แค่รู้ว่ามีเฉยๆ”

“แค่รู้ว่ามีมันก็เหมือนไม่มีนะพี่นะ”

“โห ร้ายอะ วันหลังเราจะไปเที่ยวก็ได้”

“พี่ไปเล่นน้ำนะ น้ำตกสวย”

“พาพี่ไปสิ นำเที่ยวเลย เราคนท้องที่”

“หนูต้องอยู่นี่ ต้องเก็บตังค์”

“ก็วันหยุดไง เนี่ย เดี๋ยวก็ปีใหม่แล้ว ได้กลับบ้าน”

“กลับไม่ได้พี่”

“แล้วจะอยู่ที่ไหน”

“ก็นี่ อยู่นี่”

 

-นี่-ของพรนั้นเป็นเรือนแถวไม้อัดทาสีฉูดฉาด เรียงตัวยาวขนานไปกับที่จอดรถ ถ้าฝนตก หลุมลึกตรงต้นฉำฉาใหญ่หน้าที่พักก็จะเปลี่ยนเป็นเลน ให้ลูกค้าได้ร้องวุ้ยว้ายกันเมื่อเผลอเดินตกหล่มเลอะ พาโคลนขึ้นไปอยู่บนรถคันงาม

“ถามหน่อยสิ เก็บตังค์ไปทำไรอะ”

“ก็ซื้อของ”

“ของไร บอกได้มั้ย”

“พัดลมพี่ ห้องมันร้อน ถ้ามีพัดลมก็คงดี แต่ก็ยังเก็บไม่ได้หรอกนะ ส่งเงินกลับบ้านหมดแล้ว”

“โห พี่น้องทั้งหมด 7 คน ทุกคนทำงานส่งเงินกลับบ้านกันหมดเลยเหรอ”

“ใช่พี่”

“อย่างงี้เอาไปปลูกบ้านอยู่รวมกันที่นั่นได้เลยนะ”

“กลับไปก็ไม่รู้จะอยู่กันครบมั้ย บ้านก็ไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่า”

“เฮ่ย คิดมาก”

“หนูอยู่นี่แหละ พี่จะได้เจอหนูเนอะ”

แล้วพรก็กุลีกุจอเปลี่ยนแก้ว เติมเครื่องดื่มให้ฉันอย่างร่าเริง

“ปีใหม่นี้ถ้าพี่ว่าง พี่มาหาหนูนะ หนูจะได้รู้สึกว่าเป็นปีใหม่จริงๆ มีคนที่หนูรู้จักมาสวัสดีปีใหม่กัน”

“…และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพวกเขากลัวว่าจะทำอะไรไม่ดีลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเขาเป็นมิตรเพราะไม่อยากทำให้โลกเจ็บปวด และพวกเขาใจดีเพราะความกลัว และพวกเขาก็อยากให้คนเห็นความสำคัญ พวกเขาเป็นคนมีเกียรติ แต่ดูเหมือนมีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ…”

———————————————————————————————————
*ข้อความจากในหนังสือ