Marantz Cinema 50 AV Surround Receiver

นี้คือเอวี รีซีฟเวอร์ ที่ว่ากันว่าน่าจะกำลัง ‘Hot’ สุดในบ้านเราเวลานี้ เนื่องเพราะมีความลงตัวในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นกำลังขับที่พอเหมาะกับห้องขนาดกลางๆ มีจำนวนช่องสัญญาณที่รองรับฟอร์แม็ตเสียงใหม่ๆ ได้เพียงพอ แบบไม่มากเกินและไม่น้อยเกิน หรือจะเพิ่มแอมป์เพื่อขยับขยายให้ได้ช่องสัญญาณเพิ่มในอนาคต ก็ทำได้ง่าย ผนวกคุณสมบัติรองรับการทำงานได้อย่างหลากหลาย ให้ความคล่องตัวสูง รวมทั้งมีราคาค่าตัวที่ไม่ถึงเลขหกหลัก

และอีกประการคือให้คุณภาพเสียงออกมาได้เป็นที่น่าพอใจยิ่งนัก ซึ่งตรงนี้แหละครับที่เป็นประเด็นสำคัญสุดในการเป็นผู้ถูกเลือกระดับเบอร์ต้นๆ ในตอนนี้

ปัจจุบันเครื่องเอวี รีซีฟเวอร์ มีความซับซ้อนกว่าอดีตมากนัก ทั้งนี้ก็เนื่องเพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไปเร็วมาก ทำให้ภายในเครื่องเดียวมันได้รวมความหลากหลายทางด้านนวัตกรรมเสียงเอาไว้มากกว่ามาก

อาทิ ทำงานได้ทั้งกับสายสัญญาณและระบบไร้สาย ผนวกภาคปรับแต่งเสียงได้แบบละเอียด รวมทั้งมีฟังก์ชั่นแก้ไขสภาพห้องเพื่อให้ได้ความเหมาะสมของเสียงแบบรอบทิศทางที่สมบูรณ์ขึ้น เป็นต้น

แต่เมื่อพิจารณาอีกด้านนั่นก็คือความสะดวกและคล่องตัวในการใช้งาน เพราะเพียงเพิ่มแหล่งโปรแกรมกับนำชุดลำโพงมาต่อเข้า ก็สามารถใช้งานสัมผัสความเพลิดเพลินทั้งทางด้านภาพและเสียงได้เลย

Marantz Cinema Series เป็นกลุ่มเครื่องเอวี เซอร์ราวด์ รีซีฟเวอร์ อนุกรมล่าสุดของค่าย ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่รุ่น สำหรับรุ่นที่หยิบมาแนะนำเที่ยวนี้เป็นรุ่นกลางๆ แบบรองท็อป ซึ่งมีคุณสมบัติที่ไม่แตกต่างกับรุ่นใหญ่สุดในกลุ่มสักกี่มากน้อย จึงเป็นทางเลือกที่ลงตัวดีดังว่าข้างต้น

ภาพรวมของ Marantz Cinema 50 คือเอวี รีซีฟเวอร์ แบบ 9.4 แชนเนล ซึ่งหมายถึงว่าด้วยตัวมันเองแล้วมีภาคขยายสัญญาณที่แยกอิสระจากกัน 9 แชนเนล แต่ละแชนเนลมีกำลังขับ 110 วัตต์ และมาพร้อมเอาต์พุตสำหรับสับ-วูฟเฟอร์อีก 4 แชนเนล โดยเก้าแชนเนลหลักนั้นให้ปรับการทำงานกับฟอร์แม็ตเสียงแบบ Dolby Atmos ได้ในลักษณะ 5+4 แชนเนล คือทำงานกับลำโพงชุดหลักและลำโพงให้บรรยากาศเสียงรายรอบห้าแชนเนล และทำงานกับชุดลำโพงด้านบน (Height Channel) อีกสี่แชนเนล

ซึ่งเมื่อรวมเอาต์พุตของสับ-วูฟเฟอร์อีกหนึ่งด้วยแล้ว ก็จะเป็นระบบ 5.1.4 แชนเนล รวมทั้งหากเพิ่มแอมปลิไฟเออร์หรือเครื่องขยายเสียงเข้ามาในระบบ มันก็พร้อมทำงานได้ในแบบ 11+4 แชนเนล หรือระบบ 11.2.4 แชนเนล (รวมเอาต์พุตของสับ-วูฟเฟอร์อีกสอง) ทันที

โครงสร้างภาพลักษณ์ของเครื่องแลดูมีความทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งแฝงความเรียบหรูอยู่ในที บนแผงหน้าปัดมีเพียงจอแสดงผลแบบ OLED ทรงกลม กับปุ่มลูกบิดทรงกลมขนาดเดียวกัน (ทำให้แลดูเหมือนมีวงกลมสามวงบนแผงหน้าปัด) ขนาบซ้าย/ขวา โดยลูกบิดด้านซ้ายสำหรับหมุนเลือกอินพุต และลูกบิดด้านขวาทำหน้าที่ควบคุมระดับความดังเสียงแบบมือหมุน

ใต้ชุดลูกบิดและจอดิสเพลย์เป็นบานหน้าต่างที่เมื่อเปิดออกมาจะเห็นปุ่มเล็กๆ เก้าปุ่ม ทำหน้าที่ควบคุมต่างๆ อาทิ Pure Direct, M-DAX, Zone-2, ตั้งสถานีรับล่วงหน้าของภาคจูนเนอร์ที่มีผนวกไว้ในเครื่องแบบ AM/FM, Dimmer, สถานะของการทำงาน และโหมดเสียงรูปแบบต่างๆ รวมทั้งมีพอร์ตให้อีกสองชุด สำหรับไมโครโฟนเพื่อการเซ็ตอัพ และ USB Type-A สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์จัดเก็บหน่วยความจำภายนอก

น่าเสียดายที่แผงหน้าปัดด้านหน้าไม่มีพอร์ต HDMI กับ Analogue Audio In ให้มาด้วย หากมีก็คงใช้งานได้สะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

ที่แผงปีกหน้าปัดด้านซ้ายที่เห็นเป็นปุ่มเล็กๆ คือปุ่มเพาเวอร์เปิด/ปิดเครื่อง ส่วนที่ด้านขวาในตำแห่งระนาบเดียวกันนั้นคือช่องเสียบสำหรับชุดหูฟัง

คุณสมบัติต่างๆ ทางด้านเทคนิคระบุว่าให้กำลังขับแชนเนลละ 110 วัตต์, ที่โหลด 8 โอห์ม วัดการทำงานในระบบสเตอริโอตลอดย่านความถี่ 20Hz – 20kHz พบค่าความเพี้ยนฮาร์โมนิกรวม (THD) 0.08% เทคโนโลยีระบบมัลติ-แชนเนล เซอร์ราวด์ รองรับ DTS HD Master, DTS : X, DTS Neural : X, DTS Virtual : X, Dolby TrueHD, Dolby Atmos, Dolby Atmos Height Virtualization, Dolby Atmos Music, Dolby Surround รวมทั้งรองรับฟอร์แม็ตอื่นๆ อีก อาทิ IMAX Enhanced, Auro-3D, 360 Reality Audio, MPEG H รวมทั้ง Multichannel Stereo

สำหรับอินพุต/เอาต์พุตประกอบไปด้วย HDMI In 6 ชุด, Out 3 ชุด ซึ่งรองรับ Multi-Room Video Out ด้วย ทางด้าน Analogue In มีให้ 5 ชุด รองรับ Phono MM ด้วย ทางด้าน Digital In มีให้ทั้ง Optical และ Coaxial อย่างละ 2 ชุด ส่วน Multi-Room Out แบบอะนาล็อกมีให้ชุดเดียว

โดยพอร์ต HDMI นั้น รองรับ HDCP2.3, ARC, eARC, Upscaling 1080P/4K to 8K, HDR, HLG, Dolby Vision, HDR10+, Dynamic HDR รวมทั้งรองรับ DSD Audio และ Auto LipSync

สำหรับระบบอะคูสติกแก้ไขสภาพห้อง หรือ Acoustic/Room Correction นั้น มี Audyssey ให้ และเป็นเครื่องที่พร้อมให้อัพเกรด Dirac Live ได้ รวมทั้งมี Bass Sync ให้ด้วย

ทางด้านไฟล์เพลงคุณภาพสูงแบบ Lossless Format รองรับ FLAC HD 192/24, WAV 192/24, ALAC 192/31, DSD Audio รองรับ 2.8MHz/ 5.6MHz

เอวี รีซีฟเวอร์ เครื่องนี้ยังจัดอยู่ในกลุ่ม HEOS : Home Entertainment Operating System ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเสียงไร้สายระบบ Multi-Zone, Multi-Room ที่ใช้ควบคุมการฟังเพลงผ่าน Wi-Fi และ Streaming ที่สามารถเชื่อมโยงเสียงดนตรีไปยังจุดต่างๆ ภายในบ้านได้ ด้วยการควบคุมและสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่นจากอุปกรณ์พกพา อย่างสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตได้สะดวก รวมทั้งยังช่วยให้เข้าถึงผู้ให้บริการสตรีมมิ่งชั้นนำได้อย่างคล่องตัว

ครับ, ที่กล่าวนั้นเป็นเพียงคุณสมบัติพอเป็นสังเขปของเอวี รีซีฟเวอร์ เครื่องนี้เท่านั้นเองนะครับ

มาว่ากันเรื่องภาพรวมและคุณภาพเสียงกันบ้าง นอกจากจะผนวกคุณสมบัติเด่นต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับเครื่องยุคใหม่อย่างครบถ้วน และสามารถติดตั้งได้ง่าย พร้อมควบคุมการทำงานได้อย่างสะดวกแล้ว มันยังให้ประสิทธิภาพอย่างเหนือชั้นกว่ามาตรฐานของเครื่องในกลุ่มเดียวกัน แต่ละเส้นเสียงที่ให้ออกมามีความนุ่มนวลอย่างน่าฟัง และชัดเจน การแยกแยะรายละเอียด รวมทั้งการให้ทิศทางเสียงมีความสมจริงแบบเป็นธรรมชาติมาก พลังเสียงให้ออกมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์ แบบฟังดูเหลือเชื่อมาก ปุ่มปรับต่างๆ สามารถใช้งานได้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะ Audyssey ช่วยในการปรับสมดุลแชนเนลที่ช่วยให้การรับฟังนั้นสัมผัสได้ถึงคุณภาพที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น

อีกทั้งยังสามารถทำงานกับ Dolby Atmos และ DTS:X ผ่านระบบ 5.1.4 แชนเนล ได้อย่างสมบูรณ์มาก ให้บรรยากาศเสียงเสมือนอยู่ในเหตุการณ์ที่ปรากฏบนจอภาพอย่างกลมกลืน

สรุปได้สั้นๆ ว่าเป็นเครื่องที่สามารถนำเสนอภาพและเสียงออกมาได้อย่างโดดเด่น และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของระบบโฮม เธียเตอร์ ได้ยอดเยี่ยมมากครับ •

 

เครื่องเสียง | พิพัฒน์ คคะนาท

[email protected]