วงค์ ตาวัน : พร้อมเคลียร์ใต้โต๊ะ

ประเภทที่ชอบพูดว่า “สังคมไทยเรานั้นดีทุกอย่าง ยกเว้นมีคนไทยอยู่” นั่นคือวิธีการพูดถึงปัญหาของประเทศชาติโดยโยนความผิดไปให้กับ “คน” ล้วนๆ ราวกับว่าไม่ได้มีส่วนสัมพันธ์กับสภาพโดยรวมของสังคม ซึ่งเป็นไปไม่ได้

เอาเรื่องง่ายๆ การเริ่มต้นระบบการเรียนการสอนเด็กเล็กที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า ถ้ายังเน้นแต่การท่องจำ เน้นการเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ด้านเดียว

เราก็จะได้สมาชิกในสังคมที่เติบโตไปแบบไม่คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล หลงเชื่องมงาย ไม่กล้าโต้แย้ง

การอบรมบ่มเพาะผู้คนในสังคมไทย เป็นอย่างนี้มายาวนาน นี่แหละที่เป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทยเรา

ไม่ใช่ว่าสังคมมีดีทุกอย่าง แต่ปัญหาอยู่ที่คนไทยเองที่ไม่ค่อยได้เรื่อง

“คงไม่เป็นเช่นนั้น!”

จุดอ่อนของสังคมไทยที่มาปรากฏอยู่ในผู้คนในสังคมนั้นมีมากมาย

เช่น เป็นสังคมที่ประนีประนอมสูง ไม่กล้าตัดสินปัญหาอย่างชัดเจน ไม่ยึดหลักการแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา

จุดนี้แหละ สามารถนำมาอธิบายปัญหาอาชญากรรมที่กำลังระบาดหนัก โดยวายร้ายยึดหลักว่าเราเป็นสังคมที่พร้อมจะแก้ปัญหาแบบเคลียร์กันใต้โต๊ะ มากกว่าจะแก้ปัญหาตามหลักกฎหมายแบบตรงๆ

“นั่นคือ จุดสำคัญที่ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำมาหากินได้ง่าย หลอกหลวงผู้คนได้มากมาย สูญเสียเงินทองกันรายละนับล้านบาท!”

อาจจะกล่าวได้ว่า ถ้ากลวิธีของ “แก๊งตกทอง” ที่หากินมาแต่โบราณ จนวันนี้ก็ยังทำมาหากินได้อยู่ คือการจับจุดความละโมบโลภมากของคนมาใช้กระตุ้นเหยื่อให้หลงกล

ทำทีเป็นเจอสร้อยทองเส้นโตจากข้างถนน แล้วหลอกล่อให้เหยื่อถอดเอาสร้อยที่สวมใส่บนคอซึ่งเส้นเล็กกว่ามาแลกกัน

“ก่อนจะรู้ในภายหลังว่า สร้อยเส้นโตนั้นเป็นสร้อยปลอม แต่ที่ถอดของตัวเองไปแลกนั้น เป็นทองของจริง”

มายุคนี้ที่กำลังมาแรง พัฒนาไปตามกระแสสังคมไทยยุคใหม่ คือ แก๊งคอลเซ็นเตอร์

กลวิธีของแก๊งยุคใหม่นี้ก็คือ จับจุดอ่อนของสังคมไทย ที่พร้อมจะเคลียร์ปัญหาแบบนอกรอบ พร้อมจะจ่ายใต้โต๊ะ จึงหยิบมาเป็นหลักในการใช้ล่อลวง

ถ้าสังคมไทยเราสั่งสอนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ให้คิดวิเคราะห์ทุกอย่างด้วยเหตุผล ทำอะไรต้องตรงไปตรงมา มีปัญหาก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย

รับรองได้ว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่สามารถเติบโตได้ในสังคมบ้านเรา!

ในยุคมัยที่คนไทยแทบทุกคนต้องมีโทรศัพท์มือถือติดตัว ก็ต้องคอยรับโทรศัพท์จากพนักงานปล่อยสินเชื่อ พนักงานขายประกันชีวิต ขายประกันรถ ที่ติดต่อเข้ามาอย่างชุกชุม แต่นี่ก็แค่สร้างความรำคาญ และอาจจะหงุดหงิดว่า พวกนี้เอาเบอร์โทรศัพท์ของเรามาจากไหน

แต่ที่โทร.เข้ามา แล้วรู้ไม่เท่าทัน คือสายจากแก๊งมิจฉาชีพ คอลเซ็นเตอร์

“อาจจะทำให้สูญเสียเงินทองมากมายนับล้าน”

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ระบาดในสังคมไทยมาหลายปีแล้ว แอบอิงกระแสคนไทยที่ส่วนใหญ่มีมือถือ และมีบัตรเอทีเอ็ม สามารถกดเงิน โอนเงิน ได้ฉับไวตลอดเวลา

แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ราชการ สรรพากร สตง. ปปง. ป.ป.ช. ป.ป.ส. ไปรษณีย์ ไปจนถึงเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร

สุ่มโทร.เข้าเครื่องมือถือ แล้วกุเรื่องว่า บัญชีเงินในธนาคารมีปัญหา การทำธุรกรรมทางการเงินมีปัญหา หรือส่งพัสดุไปรษณีย์ไปพัวพันแก๊งยาเสพติด แก๊งผิดกฎหมาย

“สร้างเรื่องให้เหยื่อตกใจ หวาดกลัว!”

ลงเอยให้รีบไปที่ตู้เอทีเอ็ม หลอกให้ตรวจสอบบัญชีเงินทอง แล้วสั่งให้กดปุ่มนั้นปุ่มนี้ สุดท้ายก็กดโอนเงินไปเรียบร้อย

หรือไม่เช่นนั้นก็กระตุ้นจิตสำนึก ที่พร้อมจะเคลียร์ปัญหาแบบใต้โต๊ะ

ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิดตามที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทร.มาหลอกหรือไม่

“แต่พอบอกให้โอนเงินมาเคลียร์ปัญหาก่อน จะได้ไม่เป็นเรื่องใหญ่ เท่านั้นแหละก็โอนกันทันที”

ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพราะเราสร้างสมาชิกในสังคมไทย ไม่ให้เป็นคนที่ทำอะไรตรงไปตรงมา ไม่ยึดหลักการรับผิดชอบตามกฎหมาย หลบเลี่ยงได้ก็รีบทำ

อะไรที่เคลียร์นอกรอบ เคลียร์ใต้โต๊ะได้ เอาทันที

ไม่ใช่เพราะคนที่เป็นเหยื่อมีนิสัยอย่างนั้น แต่เพราะถูกปลูกฝังสร้างวัฒนธรรมแบบนี้กันมาตลอดชีวิต

เจอตำรวจเรียกจับความผิดจราจร พร้อมจ่ายทันทีร้อยสองร้อย จะได้ไม่ต้องโดนใบสั่ง

นี่แหละ จึงเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์กันมากมาย

ความจริงตำรวจไทยก็เน้นการปราบปรามอาชญากรรมแนวใหม่นี้อย่างจริงจังมาตลอดหลายปี จับอยู่บ่อยๆ กระชากโฉมแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ๆ ให้ได้รับรู้กันเสมอๆ แต่ไม่หมดสิ้นเสียที เพราะแก๊งวายร้ายยุคใหม่เหล่านี้มีมากมาย แถมเป็นขบวนการข้ามชาติ

“อย่างรายใหญ่ล่าสุด ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มอบหมายให้ พล.ต.ต.สุรชษฐ์ หักพาล รักษาการ รอง ผบช.ท่องเที่ยว ออกสืบจับปราบปราม”

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

สามารถทลายแก๊งนายทอมมี่ วู หัวหน้าขบวนการมิจฉาชีพจากอินโดนีเซียได้ โดยมีลูกน้องเป็นคนไทยจำนวนมาก และมีทรัพย์สินที่ตำรวจยึดได้ราว 120 ล้านบาท

แก๊งนี้มีฐานทำงานอยู่ในฟิลิปปินส์ และประเทศใกล้เคียงบ้านเรา

โดยจะพบว่า ขบวนการคอลเซ็นเตอร์ มักตั้งศูนย์โทร.หลอกลวงอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากยุคนี้สามารถโทร.ผ่านอินเตอร์เน็ต แถมยังสามารถเอาเบอร์หน่วยราชการมาทำให้ปรากฏบนหน้าจอมือถือของผู้รับสาย พอตรวจสอบแล้วตรง ก็ยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่

“ตำรวจทลายมาหลายแก๊งแล้ว แต่ไม่หมดเสียที เพราะเป็นอาชญากรรมที่มีรายได้งดงาม จึงนิยมทำหามากินกันมากมายในหมู่มิจฉาชีพ”

เมื่อตำรวจจับกุมแก๊งไหนได้ ก็จะนำเอาวิธีการหลอกลวงมาตีแผ่ให้สาธารณะได้รับรู้ เพื่อจะได้ไม่หลงกลกันอีก

แต่เหล่ามิจฉาชีพก็จะปรับเปลี่ยนมุขในการต้มตุ๋นไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด

แม้แต่บางครั้ง เครื่องดื่มยอดนิยมอยู่ในช่วงจัดโปรโมชั่นแจกรถหรู ยังถูกแก๊งวายร้ายเอาไปเป็นกลวิธี โทร.ไปลวงเหยื่อ แจ้งข่าวน่าตื่นเต้นดีใจว่า ท่านเป็นผู้โชคดีในกิจกรรมของเครื่องดื่มยี่ห้อดังได้รับรางวัลรถหรู ขอให้เตรียมตัวมารับรางวัลได้

แต่ก่อนอื่นขอให้โอนเงินค่าภาษีจดทะเบียนรถมาก่อน 2 แสนบาท

ยังดีที่เหยื่อตอบกลับไปว่า คงโอนให้ไม่ได้ ไม่มีเงินถึง 2 แสนบาท ฝ่ายแก๊งต้มตุ๋นรีบถามว่าแล้วมีเท่าไร เมื่อได้คำตอบว่ามีแค่ไม่กี่หมื่น เท่านั้นแหละก็แจ้งว่า งั้นโอนมาก่อนเท่าที่มีก็ได้

“นี่เองทำให้เหยื่อไหวตัว เงินค่าภาษีลดกันหั่นแหลกได้ขนาดนี้เลยหรือ!?”

เชื่อได้เลยว่า แม้ตำรวจจะไล่จับไล่ทลายไปทีละแก๊งสองแก๊ง ก็ยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ

แล้วอย่าเอาแต่โทษว่า คนไทยทำไมหลงกลพวกนี้ง่ายๆ นั่นต้องยอมรับว่าสังคมเราถูกครอบงำด้วยวิธีคิดผิดๆ มายาวนาน

“ตั้งแต่ปัญหาใหญ่การเมืองระดับชาติ ยันโจรมิจฉาชีพตุ้มตุ๋นเงินทอง!!”

สอนกันมาตลอดให้เชื่ออะไรแบบเชื่ออย่างเดียว ไม่ต้องซักถาม จึงเต็มไปด้วยคนที่ขาดเหตุผล

รวมทั้งการไม่แก้ปัญหาโดยยึดระบบ ไม่ยึดกฎกติกาอย่างตรงไปตรงมา

มีระบอบประชาธิปไตยกันอยู่ดีๆ ประชาชนมีส่วนร่วม มีอำนาจในมือตัวเอง พอเกิดปัญหาก็อ้างว่าไปต่อไม่ได้แล้ว ใช้วิธีนอกระบบเข้ามาแก้ไข

ประชาชนจึงเป็นเหยื่อทั้งกลุ่มอำนาจนอกระบบทางการเมือง ยันแก๊งคอลเซ็นเตอร์!