เผยแพร่ |
---|
การใช้คำว่า “ยื้อ” ไม่ว่าต่อกรณี “การปลดล็อก” ไม่ว่าต่อกรณี”การ เลือกตั้ง”
สะท้อนความยอดเยี่ยมในการเลือก”คำ”
ไม่เพียงเพราะว่า มาตรการ”ปลดล็อก”มีความสัมพันธ์อยู่กับ
“การเลือกตั้ง” อย่างแนบแน่น
หากสัมพันธ์กับ “พรรคการเมือง”
เหนือยิ่งกว่านั้นยังสัมพันธ์กับพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองอีกด้วย
เมื่อถึงเวลากลับไม่ยอมก็กลายเป็น “ยื้อ”
ความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งอยู่ตรงที่พรรคการเมืองจะปฏิบัติ ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ก็มีคนไม่ยอมให้ปฏิบัติ
คนที่ไม่ยอมนั่นแหละที่ “ยื้อ”
ถึงแม้ในห้วงก่อนหน้านี้จะมีคนออกมาเล่นบทในลักษณะเดียวกัน กับที่คสช.กำลังกระทำต่อพรรคการเมือง
เป็นการเล่นบทในแบบ”ไอ้ห้อย ไอ้โหน”
นั่นก็คือ เรียกร้องและชี้หนทางว่าคสช.ไม่สมควรปลดล็อกให้
พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรม เพราะว่าบ้านเมืองยังไม่เรียบร้อยยังไม่สงบ
เหมือนกับว่าการยืนยัน”ไม่ปลดล็อก”ของคสช.จะเป็นการทำตามเสียงเรียกร้องของบรรดา”ไอ้ห้อย ไอ้โหน”ซึ่งเป็นกองเชียร์และต้องการให้อำนาจยังอยู่ในมือคสช.
เป็นไปตามที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรโณ สรุปว่า “เขาอยากอยู่ยาว”ตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2558
การไม่ปลดล็อกจึงถือได้ว่าเป็น “ชัยชนะ”
กระนั้น พลันที่ชัยชนะนี้มาพร้อมกับคำว่า “ยื้อ” ไม่ว่าในเรื่องปลดล็อก ไม่ว่าในเรื่องเลือกตั้ง
ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าจะเป็น “ชัยชนะ”
คำถามที่ตามมาก็คือ หากเป็นชัยชนะแล้วเหตุใดจึงต้องอาศัยอาการ”ยื้อ”มาเป็นเครื่องมือ
เพราะคำว่า”ยื้อ” ให้ความรู้สึกที่ไม่ดี
กิริยาอันตามมากับคำว่ายื้อ ก็เห็นได้จากรูปศัพท์ที่ว่า”ยื้อแย่ง” หรือ “ยื้อยุด” ฉุดกระชาก ก่อให้เกิดความไม่เต็มใจ ก่อให้เกิดความเสียหาย
ทั้งในทาง”กิริยา มารยาท” ทั้งในทาง”การเมือง”
“ชัยชนะ” จึงไม่ควรจะได้มาพร้อมกับ “การยื้อ”