ในประเทศ : ชำแหละคดีจับอาวุธ เหตุเกิดที่บางน้ำเปรี้ยว โยง จักรภพ-พล.ท.มนัส “ของจริง” หรือ “จัดฉาก”?

เสียงเรียกร้องจากพรรคการเมืองต้องการให้ คสช. “ปลดล็อก”

ดังต่อเนื่องนานกว่า 2 เดือน นับจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มีผลใช้บังคับวันที่ 7 ตุลาคม

นอกจากไม่สำเร็จ ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อไม่สิ้นสุด

เมื่อเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจ นำโดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. นำกำลังเข้าตรวจยึดอาวุธสงครามและวัตถุระเบิดจำนวนมาก ซุกซ่อนในบ่อพักน้ำแปลงนา ต.ดอนฉิมพลี อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา

ตรวจสอบพบเชื่อมโยงกับ “โกตี๋” นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำแดงฮาร์ดคอร์ เนื่องจากซีเรียลนัมเบอร์อาวุธที่พบเป็นชุดเดียวกับที่เคยตรวจยึดมาแล้วก่อนหน้า

ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุความไม่สงบกว่า 10 ครั้ง ในช่วงชุมนุมทางการเมืองปี 2557 และการชุมนุมอื่นหลายเหตุการณ์

ของกลางที่พบนับร้อยรายการ ประกอบด้วย ระเบิดขว้างสังหารอาร์จีดี-5 ไปป์บอมบ์ แท่งดินระเบิดทีเอ็นที ลูกระเบิดยิงขนาด 40 ม.ม. กระสุนปืนกว่า 2,000 นัด ฯลฯ

รายงานข่าวระบุ ระเบิดอาร์จีดี-5 จำนวน 30 ลูก ที่ตรวจยึดได้ เป็นระเบิดผลิตในสหภาพโซเวียต จากการตรวจสอบเลขรหัส พบเป็นล็อต 150-88, 151-88 และ 152-88 ในสภาพพร้อมใช้งาน

เชื่อมโยงกับคดีระเบิดเมื่อปี 2557 หลายจุด โดยระเบิดล็อต 150-88 และ 152-88 ใช้ก่อเหตุเมื่อ 28 มีนาคม 2557 ท้องที่ อ.เมืองนนทบุรี ใกล้จุดคนร้ายยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ถล่มสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.

ล็อต 151-88 ก่อเหตุในบริษัทไทยแม็กกรุ๊ป จำกัด ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี

ล็อต 152-88 ก่อเหตุมากสุดถึง 5 ลูก คือ วันที่ 15 มกราคม 2557 ใช้ก่อเหตุหน้ากรมอุตุนิยมวิทยา ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557 ใช้ก่อเหตุ 2 จุด หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเลียบคลองสอง เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ กับบริเวณแยกประตูน้ำ กรุงเทพฯ

วันที่ 24 มีนาคม 2557 ใช้ก่อเหตุในบ้านหมู่ 3 ต.ดงขี้เหล็ก อ.เมืองปราจีนบุรี

ทั้งหมดจึงนำมาสู่ข้อสรุปว่า กลุ่มคนจัดหาและนำระเบิดทั้ง 3 ล็อตมาใช้ น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกัน และอาจเชื่อมโยงกลุ่มการเมืองบางกลุ่ม เพราะยังพบว่า เคยถูกนำมาใช้ก่อเหตุที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนบรรทัดทอง และหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาฯ

“จุดที่พบล้วนมีส่วนเกี่ยวกับเหตุการณ์ความวุ่นวายจากการชุมนุมทางเมืองที่เกิดความไม่สงบ และจากการตรวจยึดครั้งนี้ คาดว่าคนร้ายน่าจะนำมาซุกซ่อนไว้ เพื่อเตรียมก่อความไม่สงบอีก” พล.ต.อ.ศรีวราห์ ระบุ

 

กรณีการตรวจยึดอาวุธสงครามและระเบิดในพื้นที่ อ.วังน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา มีหลายจุดที่สังคมเคลือบแคลงสงสัย

เพราะหลังการบุกค้นและตรวจยึด เมื่อวันที่ 29 พฤจิกายน ขณะตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ไม่ทันได้เสนอต่อศาลขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องสงสัยคนใด

ปรากฏว่าวันที่ 1 พฤศจิกายน นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับทหาร ในพื้นที่รับผิดชอบกองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อย ศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศ ทบ.1 (ศปภอ.ทบ.1) พื้นที่วังน้อย-ปทุมธานี

เจ้าหน้าที่จึงนำตัวนายวัฒนา มาควบคุมไว้ในมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) แจ้งข้อหาตามมาตรา 44 ฐานมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง ก่อนนำตัวฝากขังศาลผัดแรก วันที่ 7 ธันวาคม

ราบรื่นง่ายดายอะไรปานนั้น

จากการซักถามและตรวจสอบประวัติพบว่า นายวัฒนา เชื่อมโยงกับเครือข่ายแดงฮาร์ดคอร์ เคยต้องคดีทำนองเดียวกันนี้มาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน

โดยเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2557 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท.ผบช.ภาค 1 พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. และ พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย กอ.รมน. ร่วมกันแถลงข่าว

จับกุมนายวัฒนา หรือนายศิวะ ทรัพย์วิเชียร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารจังหวัดทหารบกสระบุรี เลขที่ 14 ก./2557 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2557 ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงครามที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง

สอบสวนนายวัฒนา สารภาพตลอดข้อกล่าวหา

ยอมรับว่าได้รับอาวุธจาก นายสมเจตน์ คงวัฒนะ แล้วส่งต่อให้ นายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์ เพื่อไปใช้ก่อเหตุสร้างความวุ่นวายในช่วงชุมนุมทางการเมืองปี 2557

แต่จากคดีใหม่ที่เข้ามาพัวพันกับอาวุธสงคราม อ.วังน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา ทำให้ต้องย้อนกลับไปตรวจสอบคำพิพากษาของศาลว่าตัดสินจำคุกนายวัฒนา กี่ปี ต้องโทษจริงกี่ปี

เหตุใดจึงพ้นโทษในเวลาอันรวดเร็ว

 

ระหว่างที่คนในสังคมจำนวนหนึ่งยังคลางแคลงใจกรณี นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร ก็เกิดสิ่งบ่งชี้บางอย่างว่า แท้จริงแล้วนายวัฒนา เป็นเพียงตัวประกอบ

โดยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม (บก.ป.) ให้ดำเนินคดีกับ 5 ผู้ต้องสงสัย

ประกอบด้วย นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร, นายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์, นายสมเจตน์ คงวัฒนะ, นายมนัส หรือ พล.ท.มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 และ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช.คนเสื้อแดง

ในความผิดร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงครามที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจร

เนื่องจากสืบสวนพบว่าอาวุธที่พบ เป็นอาวุธที่กลุ่มบุคคลเหล่านี้ส่งมอบให้ผู้ก่อเหตุวุ่นวายช่วงปี 2557

ส่วนการไม่มีชื่อ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ รวมอยู่ด้วย ทั้งที่ไม่เพียง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ที่ยืนยัน

แม้แต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ตลอดจน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการ คสช. ก็ยืนยันว่า “โกตี๋” เกี่ยวข้อง

เป็นอีกประเด็นทำให้หลายคนสงสัย

แต่ถึงไม่มีชื่อ “โกตี๋” อยู่ในบัญชี การมีชื่อ นายจักรภพ เพ็ญแข กับ พล.ท.มนัส เปาริก โผล่ขึ้นมาแทน กลับทำให้คดีจับคลังอาวุธบางน้ำเปรี้ยว เกิดสีสันน่าสนใจไม่แพ้กัน

ยังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบจาก พล.ท.มนัส เปาริก

ต่างจาก นายจักรภพ เพ็ญแข ที่ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กทันที

เนื้อหาหลักๆ เป็นการประณามการออกข่าวแบบมั่วซั่ว ไร้ข้อเท็จจริง พร้อมยืนยันตนเองไม่เกี่ยวข้องกับการซ่องสุม จัดหา หรือส่งอาวุธจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายังประเทศไทย

 

มีความเห็นหลากหลายจากนักการเมืองต่อกรณีการจับอาวุธสงครามครั้งล่าสุด

แน่นอนพรรคเพื่อไทยย่อมต้องมองในแง่ลบว่า เป็นการ “จัดฉาก” อย่างไม่สมเหตุสมผล

จุดมุ่งหมายนอกจากต้องการกลบกระแส “ขาลง” ยังเพื่อใช้เป็นข้ออ้างว่ายังมีกลุ่มคนจ้องสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย เพื่อจะได้ไม่ต้อง “ปลดล็อก” และ “เลื่อนเลือกตั้ง” ออกไป

จริงหรือไม่จริง ไม่มีใครรู้

แต่ก็สะท้อนได้ว่า เมื่อฝ่ายถืออำนาจรัฐกล่าวหาฝ่ายการเมืองได้ ฝ่ายการเมืองก็สามารถกล่าวหาฝ่ายถืออำนาจรัฐได้เช่นกัน

ทางลงของเรื่องนี้ดีที่สุด จึงอยู่ที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐจำเป็นต้องเร่งสืบสวนสอบสวน หาพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มายืนยันต่อสาธารณชนให้ได้ว่ากลุ่มผู้ต้องสงสัย 5-6 คนดังกล่าว กระทำความผิดจริง

การอาศัยเพียงความเชื่อส่วนตัว หรือการคาดเดา เชื่อมโยงแบบ “จับแพะชนแกะ” ผู้มีอำนาจย่อมสามารถทำได้ เพียงแต่จะได้รับการยอมรับจากคนในสังคมหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

มีแต่พยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือและพิสูจน์ได้เท่านั้น ที่จะสาวไปหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังซ่องสุมอาวุธทั้งหมด

เพื่อความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เป็นเรื่องหนึ่ง

เพื่อช่วยให้สังคมหายจากอาการระแวงสงสัย ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือเป็นแค่การ “จัดฉาก”

ขุด “ตัวละครเก่า” มารับ “บทเก่า” เพียงแต่เปลี่ยน “สถานที่ถ่ายทำ” ใหม่ จาก จ.ปทุมธานี มาเป็น จ.ฉะเชิงเทรา ภายใต้เค้าโครงเรื่องเดิมๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อาจละเลย

ไม่เช่นนั้นผลร้ายจะตกอยู่กับผู้ถืออำนาจและผู้ใช้อำนาจรัฐเอง