กาละแมร์ พัชรศรี : คนอ่านให้คนเขียน

ช่วงเวลาแห่งการพบปะผู้คนยังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน แต่มันเป็นความต้องการที่ฉันกำหนดมันขึ้นมาเองช่วงเวลาแห่งการเดินสายโปรโมตและแจกลายเซ็น และเห็นหน้าคนอ่าน มีอะไรให้คาดไม่ถึงได้ในทุกๆ ครั้ง

บางที่คนเยอะ บางที่คนน้อย ฉันไม่เกี่ยง ยังใส่พลังเต็มเปี่ยมให้กับผู้ที่มา เพราะเราให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มากกว่าถามถึงคนที่ไม่เห็น!

มีคุณป้าคนหนึ่ง ผ่าหลังเพราะปัญหาหมอนรองกระดูกทับเส้น เพิ่งผ่ามาได้ 7 สัปดาห์ ดามหลังมานั่งรออยู่แถวหน้าสุด ฉันต้องขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่เพราะที่นั่นไปสาย 10 นาที

คุณป้าผู้ใจดีบอกว่า “ความจริงบ้านอยู่ใกล้แฟชั่นไอส์แลนด์ที่คุณจะไปพรุ่งนี้ แต่พรุ่งนี้ไม่มีใครว่างไปด้วย เลยมาแถวรัชดาแทน”

โหย…ชีวิตเราทำไมช่างได้รับเกียรติขนาดนี้

 

บางคนเพิ่งเลิกงาน ตั้งหน้าตั้งตาบิดมอเตอร์ไซค์มาให้ทันเวลา กลิ่นควันรถยังคละคลุ้ง แต่รู้เลยว่าน้องเขาตั้งใจมาหาจริงๆ

บางคนมาเพื่อขอกอดสักครั้งเพื่อขอกำลังใจ คุณคิดดูว่าถ้าสัมผัสของเราทำให้เขาได้มีพลังใจต่อในการดำเนินชีวิตและทำสิ่งดีๆ ต่อไป มันคุ้มค่ากับที่เกิดมาจริงๆ

บางคนมาเพื่อมาบอกว่า ” ดูไลฟ์อยู่นะทาง Facebook เมื่อก่อนเล่นไม่เป็น เลยต้องมาฝึกเล่นเพื่อดูคุณ”

วันนี้เจอคุณพี่คนหนึ่งบอกว่า “นี่พี่ดูตลอดนะ พี่ซื้อไมโครเวฟตาม ซื้อเวย์ตามแล้วนะ ลูกชอบแซว เอะอะแม่อะไรก็กาละแมร์ๆ”

หรือผู้หญิงบางคนก็จะโดนแฟนสะกิดว่า “เธอๆ มอนิ่งๆ ของเธอมาแล้วไปดูสิ” (เนื่องจากฉันมักทักทายคนดูยามเช้าว่า “มอนิ่งๆ มากันรึยังๆ”)

และบางคนก็มาเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น

 

อย่าง “พี่อุ้ม” สาวใหญ่วัยใกล้ 50 ปี เดินเข้ามาบอกว่า พี่ดูคุณแทบทุกวัน ทำอาหารตามคุณ นี่จะมาซื้อหนังสือ เอาสูตรไปทำอาหารอีก รู้ไหมตั้งแต่พี่ดูคุณ พี่ลด 40 กิโลแล้ว จากเมื่อก่อน 120 กิโล วันนี้เหลือ 80 พี่จะเอาให้เหลือสัก 60 เท่ากับตอนลูกอยู่อนุบาล”

โอ้โห ปูมาขนาดนี้ เราต้องสลับหน้าที่กันแล้ว จากที่เป็นคนตอบ ฉันต้องสวมวิญญาณพิธีกรถามพี่อุ้มเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ฟังคนอื่นที่นั่งอยู่แล้ว

พี่อุ้มบอกว่า ตอนแรกก็ไม่คิดว่ามันจะอร่อย แต่พอลงมือทำ กินไปกินมา เฮ้ย มันก็อร่อยนี่นา เห็นคุณใช้อะไร พี่ก็ไปหาซื้อตาม ตอนแรกเห็นไอ้เชียร์ซี้ด แฟล็กซี้ด มันก็แพงอยู่นะ แต่พอคิดว่าเอาวะเพื่อสุขภาพ พี่ก็ซื้อเลย ดีกว่าไปซื้ออาหารพังๆ ลองทำนั่นทำนี่ก็สนุกดี บางทีก็ทำให้ลูกกินด้วย

เมื่อก่อนลูกกินอะไรเหลือ เราก็เสียดาย กวาดกินเรียบ เดี๋ยวนี้นะ “ช่างแมร่ง!” เรียกเสียงฮาจากผู้ชมรอบร้านทีเดียว

มันเก็บกินของเหลือแล้ว มันอ้วน แล้วพอเดี๋ยวนี้ไปกินอะไรนอกบ้าน ก็ต้องคอยบอกไม่ใส่ผงชูรส อย่ามันมาก มันชินแล้ว

พอถามว่าแล้วพี่ออกกำลังกายไหม คราวนี้แกพรั่งพรูเลย

“ทุกวันนี้เดิน 10 กิโลสบายมาก เมื่อก่อนเดิน 10 ก้าวก็เหนื่อยแล้ว” พี่อุ้มไม่พูดเฉยๆ ควักมือถือเอารูปตัวเองตอนอ้วนพีกๆ มาให้ดูอีก

ฉันร้อง “โอ้โห พี่อุ้ม คืออย่าว่าหนูนะ คือหัวแล้วมาตัวเลยนะ คอหายไปเลย” พี่แกยิ้ม บอก “ใช่ อ้วนมาก แล้วเป็นโรคเยอะ ภูมิแพ้ ความดัน ตอนนี้ไม่เป็นเลย หมอบอกดีมาก”

เราจากลากันด้วยการถ่ายรูปและเซ็นหนังสือกัน

 

คุณคะ คิดดูสิว่า แต่ละวันฉันไม่รู้เลยว่าจะมีใครเอาเรื่องราวอะไรมาเล่าให้ฟังบ้าง แต่ละอย่างมันตื่นเต้นจริงๆ

และในวันนั้น เราขายหนังสือที่ร้านนายอินทร์ สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์จนหมดร้าน!!!!

ใช่ค่ะ ขายจนหมด ไม่เหลือสักเล่ม แม้แต่เล่มที่วางโชว์ ฉันมองไปทางพนักงานแคชเชียร์และห่อปก ทำงานมือเป็นระวิง แต่ด้วยความรวดเร็วและชำนาญ ทำให้เธอไม่ต้องมองตอนห่อก็ได้ หันไปทางอื่นเพื่อมองลูกค้าว่าต้องการอะไรได้อีก

ฝ่ายเชียร์ ฝ่ายขาย น้องที่มาเป็นพิธีกรก็ช่วยกันเต็มที่ หลังๆ ได้น้องๆ แฟนคลับฉันไปช่วยกันขายอีกด้วยความสนุกสนาน พอขายหมดก็ปรบมือลั่นร้านและกรีดร้องกันอย่างสนุกสนาน นี่ขายหนังสือหรือถูกหวย!!!???

หัวใจพองโตด้วยความสุข สนุกสนาน กลับบ้านด้วยความเบิกบาน ไม่เหน็ดเหนื่อย มีอย่างเดียวคือเสียงแหบ ก็พูดวันละ 3-4 ร้านน่ะค่ะ

บอกตัวเองเลยว่า “เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามาก”

ขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะ…