อาชญากรรม : ย้อนคดี “ป่วยแล้วขับ” หลังเกิดเหตุช็อก!พัทยา-หนุ่มลมชัก ซิ่งชนวินาศ-ดับ2ศพ ล้อมคอกออกใบขับขี่ 

กลายเป็นเรื่องที่อยู่ในการถกเถียงของสังคมอย่างกว้างขวาง ที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่ชลบุรี

เมื่อหนุ่มใหญ่ขับปิกอัพมาดีๆ ดันเกิดมีอาการลมชักกำเริบ

ส่งผลให้รถที่ขับมาพุ่งเข้าชนกลุ่มคนและรถที่จอดอยู่ในจุดเกิดเหตุ เป็นทางยาวกว่า 200 เมตร

มีผู้บาดเจ็บนับสิบ และในจำนวนนั้นเสียชีวิตทันที 2 ราย

สร้างความเศร้าเสียใจให้กับครอบครัว และนำมาด้วยคำถามถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย

เพราะในอดีตก็มีกรณีของทายาทไฮโซ “หมูแฮม” กัณพ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ ที่เกิดอาการชักเกร็งจนขับรถชนกระเป๋ารถเมล์เสียชีวิต

หรือกระทั่งกรณีที่ เจนภพ วีรพร ทายาทหมื่นล้านที่ขับเบนซ์ชนรถฟอร์ด ไฟลุกดับ 2 ศพ ก็ต่อสู้เรื่องอาการป่วยเช่นกัน

จึงกลายมาเป็นคำถามว่าถึงเวลาหรือยัง ที่จะกำหนดไม่ให้ผู้ป่วยที่อาจมีผลร้ายแรงต่อการขับขี่ ขับรถในที่สาธารณะ อันอาจเป็นภัยร้ายแรงกับประชาชนอื่นๆ

ไม่ให้เกิดสลดเช่นนี้ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีก

หนุ่มลมชักพุ่งชนดะ-ดับ 2

อุบัติเหตุที่น่าสลดครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา โดย ร.ต.ท.หญิง ขวัญข้าว อินาวัง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุรถยนต์พุ่งชนรถจักรยานยนต์หลายคัน ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย

เหตุเกิดที่ถนนพัทยาใต้ หน้าตึกคอมพัทยา หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงไปตรวจที่เกิดเหตุ พบรถกระบะอีซูซุ ดีแมกซ์ สีดำ ทะเบียน ผค 43 ชลบุรี สภาพด้านหน้าพังยับเยิน จอดอยู่ริมถนน

บนถนนระยะทางกว่า 200 เมตรพบรถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วนอะไหล่ตกกระจัดกระจายเกลื่อนถนน มีผู้บาดเจ็บนอนร้องขอความช่วยเหลืออยู่คนละทิศละทาง รวม 15 คน ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนและผู้ปกครอง ที่กำลังพาบุตรหลานไปส่งโรงเรียนในช่วงเช้า

นอกจากนี้ ยังพบผู้เสียชีวิต 2 คน คือ นายวุฒิชัย เหลาคำ อายุ 23 ปี และ น.ส.สุนารี บำรุงราษฎร์ อายุ 23 ปี และยังพบสุนัขพันปอมเมอเรเนียน ถูกรถชนคอขาดอีก 1 ตัว เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลแล้วนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลในพื้นที่

ใกล้กันพบ นายอัครเดช อุดมรัตน์ อายุ 44 ปี ชาว จ.ชลบุรี คนขับรถปิกอัพที่ก่อเหตุ นั่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จึงรีบนำตัวออกจากที่เกิดเหตุ เนื่องจากเกรงจะถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ นำตัวส่งตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์ แต่ไม่พบ

เจ้าตัวให้การด้วยอาการมึนงงว่า ก่อนเกิดเหตุขับรถมาตามปกติ แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวอีกทีพบว่าขับรถชนรถชาวบ้านพังยับเยินเกลื่อนถนน แล้วก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก จึงนำตัวไปควบคุมตัวที่ สภ.เมืองพัทยา

อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดในร่างกาย พบว่าเป็นสีม่วง มีสารเสพติดชนิดแอมเฟตามีน ที่เป็นสารส่วนผสมของยาบ้าปะปนอยู่ แต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นสารผสมกับตัวยาชนิดใดหรือไม่

เบื้องต้นจึงแจ้งข้อหาขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้รับบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งขับรถประมาทหวาดเสียว หลบหนีการจับกุม และเสพสารเสพติดในขณะขับรถ

ค้านประกันส่งตัวฝากขังศาลต่อไป

กรมขนส่งรื้อกฎออกใบขับขี่

เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกสังคมตั้งคำถามอย่างกว้างขวาง ว่าทำไมถึงปล่อยให้คนป่วยมีใบขับขี่ สามารถขับรถในถนนสาธารณะได้

ซึ่งจากการสอบถามนายอัครเดช ระบุว่า มีอาการป่วยด้วยโรคลมชักจริงเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา มีหลักฐานการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา แต่ใบอนุญาตขับขี่นั้นมีมาก่อนนี้นานแล้ว เจ้าหน้าที่จึงทำเรื่องขอตรวจสอบประวัติรักษาพยาบาล และข้อเท็จจริงจากแพทย์ผู้รักษา

ขณะที่ นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า นายอัครเดช อุดมรัตน์ มีใบอนุญาตขับรถแบบตลอดชีพ หากภายหลังพิสูจน์ทราบและมีหลักฐานว่าผู้ขับขี่รถกระบะคันดังกล่าวเป็นโรคลมชักจริง กรมจะเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ทันที เพราะเป็นบุคคลที่มีสภาพร่างกายไม่พร้อมในการขับขี่

ทั้งนี้ การอนุมัติใบขับขี่ที่หลายฝ่ายข้องใจ ต้องชี้แจงว่า นายอัครเดช ได้ใบขับขี่มานานแล้ว ทำให้การเข้าไปตรวจสอบประวัติสุขภาพดำเนินการไม่ได้ แต่ตอนนี้กรมยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ตลอดชีพกับบุคคลทั่วไปแล้ว และใช้ระบบใบขับขี่ชั่วคราวแทน

รวมทั้งอยู่ระหว่างการหารือกับแพทยสภา เพื่อปรับปรุงมาตรฐานใบรับรองแพทย์ที่นำมายื่นประกอบขอใบอนุญาตขับขี่ ให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย

โดยอาจกำหนดกลุ่มโรคที่มีความเสี่ยงหรืออันตรายต่อการขับขี่ในแบบฟอร์มใบรับรองแพทย์ เช่น โรคติดต่อร้ายแรง และโรคลมชัก หากแพทย์วินิจฉัยว่าบุคคลใดเข้าข่าย หรือเป็นโรคต้องห้าม กรมก็จะไม่พิจารณาออกใบขับขี่ให้

ขณะที่ นพ.อุดม ภู่วโรดม ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า โรคลมชักเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติในสมอง กรรมพันธุ์ หรือเนื้องอกในสมองที่ส่งผลให้สมองผิดปกติ โดยจะมีอาการชักอยู่สองแบบคือ ชักกระตุก ชักเกร็ง หรือนิ่ง เหม่อลอย สถิติขณะนี้คาดว่ามีคนไทยเป็นโรคลมชัก 600,000-700,000 คน ถ้าเข้าพบแพทย์รักษาอาการ ทานยาอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้

แต่จะเป็นอันตรายเมื่อขาดยา ไม่ควรทำงานที่ต้องบังคับเครื่องจักร ขับรถยนต์ เพราะจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นด้วย แต่ขณะนี้ในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายห้ามผู้ป่วยโรคลมชักขับรถยนต์หรือมีใบขับขี่ แต่สถาบันประสาทวิทยาพยายามหารือกับกรมการขนส่งทางบกเพื่อให้ออกเป็นกฎหมายว่า ผู้ป่วยลมชักที่ไม่มีอาการมาแล้ว 6 เดือน-1 ปี เท่านั้นจะสามารถทำใบขับขี่ได้

ทั้งนี้ ข้อมูลของแพทยสภา ระบุว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นโรคลมชักราว 1 ล้านคน โดยในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่รถถึง 1 แสนคน

เป็นเรื่องที่ยังรอการแก้ไข

ย้อนเหตุสูญเสีย “ป่วยแล้วขับ”

กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยแล้วขับรถจนเกิดความสูญเสียอย่างไม่คาดคิด ย้อนกลับไปเมื่อ 4 กรกฎาคม 2550 เกิดเหตุระทึกขวัญสร้างความตกตะลึงให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนย่านสุขุมวิท 26

โดย นายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ ทายาทไฮโซตระกูลดัง และอดีตนางสาวไทย ขับรถเบนซ์เฉี่ยวชนกับรถประจำทางสาย 513 ก่อนเกิดปากเสียง แล้วใช้ก้อนหินทุบใบหน้าโชเฟอร์รถเมล์ แล้วขึ้นไปนั่งบนรถ ก่อนเหยียบคันเร่งพุ่งชนผู้โดยสารที่ยืนอยู่บนทางเท้าวิ่งหนีอลหม่าน เป็นเหตุให้ นางสายชล หลวงแสง คนเก็บสตางค์รถเมล์เสียชีวิต

ซึ่งคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2552 ให้จำคุกนายกัณฑ์พิทักษ์ 10 ปี 1 เดือน ริบรถยนต์ของกลาง และให้ชำระค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย โดยคดีนี้จำเลยต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์

ซึ่งศาลอุทธรณ์ ก็มีคำสั่งมาเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2556 พิพากษาแก้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นในขณะไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง ให้จำคุก 3 ปี แต่ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี 1 เดือน โทษจำคุกรอการลงโทษ 2 ปี และให้ไปรักษาความบกพร่องทางจิต และรายงานตัวกับเจ้าพนักงานคุมประพฤติ

เนื่องจากจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ จนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่งและอาญา

โจทก์ยื่นฎีกา โดยศาลฎีกาแก้ให้จำคุก 2 ปี 1 เดือน ฐานฆ่าและทำร้ายร่างกายผู้อื่น โดยไม่รอลงอาญา และยกเลิกการคุมประพฤติ เนื่องจากเห็นว่าผลการตรวจของแพทย์พบจำเลยมีจิตบกพร่อง แต่สามารถรู้จักผิดชอบถึงการกระทำของตน และยังมีประวัติเสพยาเสพติดหลายชนิดตั้งแต่อายุ 17-18 ปี จนถึงก่อนเกิดเหตุ อีกทั้งแพทย์ระบุว่าจำเลยป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน แต่บิดายังให้ขับรถ พฤติการณ์ถือว่าร้ายแรง

อีกกรณีหนึ่งก็คือกรณีที่ นายเจนภพ วีรพร ทายาทของเจ้าของบริษัท เลนโซ่ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) กิจการระดับหมื่นล้าน ขับรถเบนซ์ ษง 3333 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนเก๋งฟอร์ด เฟียสต้า สีเทาดำ ทะเบียน ฆย 6911 กรุงเทพมหานคร จนไฟลุก ส่งผลให้ นายกฤษณะ ถาวร หรือโต้ง และ น.ส.ธันฐภัทร์ หรือเบนซ์ ฮ้อแสงชัย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

เหตุเกิดบนถนนพหลโยธินขาออก ก.ม.52-53 ใต้ทางต่างระดับบางปะอิน ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

ในรถเบนซ์พบซองยาของสถาบันจิตเวชศาสตร์ สมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งใช้รักษาโรคซึมเศร้า เป็นยากล่อมประสาท ที่มีผลทำให้ง่วงหรือเบลอได้

ส่วนคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล

ทั้งหมดล้วนเป็นเหตุที่เกิดขึ้นมาก่อน และสงสัยว่าใช้เวลาอีกนานหรือไม่

ถึงจะล้อมคอกสำเร็จ