หนุ่มเมืองจันท์ : “ความรู้” ที่แท้จริง

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันก่อน ผมเปิดดู line ห้องต่างๆ ก่อนเข้านอน

“จิว” ส่งรูปข้อความในหนังสือ “ความสุข ณ จุดที่ยืนอยู่” เข้ามา

เป็นเรื่องบริษัทรองเท้าในอิตาลี 2 แห่งส่งเซลส์แมนไปเกาะแห่งหนึ่ง สิ่งที่ทั้งคู่เจอคือ คนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย

เรื่องนี้เป็นนิทานการตลาดที่มีการเล่าต่อกันมานาน

แต่ผมเปลี่ยนตอนจบใหม่

ขออนุญาตเล่าซ้ำจากหนังสืออีกครั้ง

…เซลส์คนแรกวิ่งไปโทรศัพท์บอกเจ้านาย

“นายครับ ไม่ต้องมาอีกแล้วครับ คนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย”

คนที่สองวิ่งไปโทรศัพท์กลับไปบริษัทเหมือนกัน

เขาบอกเจ้านายด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“นายครับ โอกาสขายมีมากเลยครับ เพราะคนในเกาะไม่มีใครใส่รองเท้าเลย”

เกาะเดียวกัน คนไม่ใส่รองเท้าเหมือนกัน แต่เซลส์ 2 คนคิดไม่เหมือนกัน

คนหนึ่งเห็น “ปัญหา” คนหนึ่งเห็น “โอกาส”

เรื่องที่ผมเคยได้ยินมาจบแค่นี้

แต่ “อมร” บอกว่าจริงๆ แล้วมีตอนต่ออีกหน่อย แต่ไม่ค่อยมีใครเล่า

คือ ไม่มีเซลส์แมนคนไหนขายรองเท้าให้ชาวเกาะได้สักคู่เดียว

เพราะหลังจากที่เซลส์แมนทั้ง 2 คนโทรศัพท์เสร็จ

…ชีวิตก็หาไม่

เพราะเกาะนี้เป็นเกาะมนุษย์กินคนครับ

“อมร” สรุปแบบสีข้างถลอกว่านิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “วิธีคิด” ไม่สำคัญเท่ากับ “ความรู้”

คิดบวก-คิดลบ ก็ได้

แต่ต้องรู้จักเอาชีวิตรอด…

“จิว” ชอบตอนจบของเรื่องนี้มาก

แล้วเขาก็สรุปแบบนักธุรกิจว่าแต่ละบริษัทจะใช้กลยุทธ์การขายแบบไหนก็ตาม

“สุดท้าย รอดไหม”

บอกตามตรงว่าตอนที่ “จิว” บอกว่าชอบเรื่องนี้

ผมต้องอ่านซ้ำอีกครั้ง

แฮ่ม…ลืมไปแล้วว่าเขียนอะไร

555

เรื่องมันคงจบอยู่เพียงแค่นี้ ถ้าผมไม่ได้อ่านข่าวการแถลงข่าวของ “เฮียฮ้อ” สุรชัย เชษฐ์โชติศักดิ์

ตอนนี้ “อาร์เอส” กำลังปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่

แบบใครๆ ก็คิดไม่ถึง

วันแรกที่ “เฮียฮ้อ” ตัดสินใจทำธุรกิจเครื่องสำอาง

ใครๆ ก็นึกว่าเป็นเพียงแค่การกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ

เพราะออกจากแนวธุรกิจเพลงและสื่อที่เป็นธุรกิจหลักของ “อาร์เอส”

แต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่แล้ว

ธุรกิจเครื่องสำอางขยายเป็นธุรกิจสุขภาพและความสวยความงาม

การเปลี่ยนคำที่ใช้ คือ การขยายแนวรบธุรกิจ

จากแค่ “สินค้า” เขาอาจขยายไปสู่การบริการ

อาจจะเปิดคลินิกแบบ “วุฒิศักดิ์” ก็ได้

ที่สำคัญคือยอดขายของกลุ่มนี้จาก 26% ในไตรมาสแรก

เพิ่มเป็น 42% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาสที่ 3

ธุรกิจสื่อของ “อาร์เอส” คือ ทีวีช่อง 8 และสถานีวิทยุ รายได้ลดจาก 59% ในไตรมาสแรก

เหลือ 47% ในไตรมาสที่ 3

อย่าถามถึงธุรกิจเพลงนะครับ

ตอนนี้เหลือแค่ 6% เท่านั้น

“เฮียฮ้อ” บอกว่าปีหน้าจะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของอาร์เอสในรอบ 35 ปี

“เราเป็นธุรกิจพาณิชย์ ไม่ใช่ธุรกิจสื่ออีกต่อไป”

เขาก้าวข้ามเรื่องธุรกิจเพลงไปแล้ว

ปีหน้า เขาจะเลิกสัญญากับศิลปินในค่าย ลดจาก 100 คนเหลือ 30 คน

ถ้าใครไม่ได้ติดตามเส้นทางธุรกิจของ “อาร์เอส” ก็คงจะแปลกใจ

แต่หากติดตามอย่างต่อเนื่องก็จะรู้ว่านี่คือ “วิธีคิด” แบบไม่ยึดติดของ “เฮียฮ้อ”

ทุกครั้งที่เกิดความเปลี่ยนแปลง

“เฮียฮ้อ” โดดก่อนเสมอ

ตอนที่แผ่นผีซีดีเถื่อนมาแรง ตามมาด้วยการโหลดเพลงฟังฟรี

“เฮียฮ้อ” ขายโรงงานผลิตซีดีก่อนเลย

ตามมาด้วยการเลิกขายแผ่นซีดี

จากนั้นก็รุกๆ ถอยๆ ในธุรกิจเพลงมาตลอด

เล่นกับ “ความเป็นจริง” เรื่อยๆ

มี “โอกาส” ตรงไหนก็โดดใส่

พอมีประมูลทีวีดิจิตอลก็ร่วมประมูลด้วย แต่เอาช่องเดียว และเป็นช่องธรรมดา ไม่ใช่ HD

“ช่อง 8” เรตติ้งติดอันดับต้นๆ มาตั้งแต่แรก

“วิธีคิด” ของ “เฮียฮ้อ” เรื่องสถานีโทรทัศน์ก็น่าสนใจ

คนในวงการบอกว่าเขาโฟกัสจริงๆ ไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน

ทำให้ช่วงนั้นเรตติ้งดีๆ

เพื่อให้ขายโฆษณาได้ราคา

ส่วนช่วงอื่นๆ ก็คุมค่าใช้จ่าย

รายได้ไม่กี่ชั่วโมงต่อวันจะสามารถเลี้ยงทั้งสถานีได้

นั่นคือ กลยุทธ์ในวันนี้

แต่ในช่วงแรก ค่าโฆษณาของทีวีดิจิตอลต่ำสุดๆ

และเหลือเวลาโฆษณาเยอะมาก

เขาแปร “ปัญหา” กลายเป็น “โอกาส”

และนั่นคือที่มาของธุรกิจเครื่องสำอาง

“เครื่องสำอาง” เป็นธุรกิจที่กำไรดีมาก และตลาดใหญ่มาก

ที่สำคัญ “ต้นทุน” สำคัญของธุรกิจนี้คือ ค่าใช้จ่ายในการใช้สื่อโฆษณา

“เฮียฮ้อ” มีช่อง 8 ที่ช่วงนั้นเวลาโฆษณาเหลือ

เขาก็เอาเวลาที่เหลือมาโฆษณาเครื่องสำอางของตัวเอง

“จิ๊กซอว์” จึงต่อเชื่อมกันลงตัว

ผมชอบเปรียบ “เฮียฮ้อ” ว่าเป็น Street Fighter

เพราะเขาเคยยากจนต่อสู้ชีวิตมาก่อน

รู้ว่าโลกแห่งความเป็นจริงนั้นโหดร้าย

คนที่เคยสู้ชีวิตจะรู้เลยว่าการเอาชีวิตรอดนั้นสำคัญที่สุด

นักชกบนเวทีนั้นมีกติกาข้อบังคับที่คู่ต่อสู้ต้องปฏิบัติตาม

ตำราการตลาดว่าอย่างไร ต้องเดินไปตามนั้น

แต่ “เฮียฮ้อ” ไม่ได้คิดแบบนั้น

เขาจึงไม่ยึดติดกับธุรกิจเดิม

ความเปลี่ยนแปลงมาเมื่อไร

เขาก็พร้อมเปลี่ยนตาม

ถ้าสู้ไม่ได้ก็ไม่สู้

หาสนามใหม่สู้ต่อ

คำว่า “อาร์เอสเป็นอะไรก็ได้” ที่เขาเพิ่งแถลงข่าว

ไม่ใช่วิธีคิดใหม่ของ “เฮียฮ้อ” หรอกครับ

เขาคิดแบบนี้นานแล้ว

ผมคิดเล่นๆ ว่าปรัชญาของ “อาร์เอส” วันนี้คงเป็นปรัชญาของ “ชาร์ลส์ ดาร์วิน”

ผู้ที่จะอยู่รอดได้นั้นไม่ใช่ฉลาดที่สุดหรือแข็งแรงที่สุด

แต่เป็น “ผู้ที่ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด”

สมมุติว่า “เฮียฮ้อ” เป็นเซลส์แมนขายรองเท้าที่ไปเกาะมนุษย์กินคน

ผมว่าเขาคงไม่ดูแค่เท้าของชาวเกาะว่าใส่รองเท้าหรือเปล่าเพียงอย่างเดียว

“เฮียฮ้อ” คงมองตาชาวเกาะด้วย

พอเห็นสายตาหิวๆ และบางคนเลียริมฝีปาก

ตอนที่เซลส์ 2 คนวิ่งไปโทรศัพท์

ตอนนั้น “เฮียฮ้อ” คงพายเรือออกจากเกาะไปแล้ว

ครับ “คิดบวก-คิดลบ” ก็ได้

แต่ต้องรู้จักเอาชีวิตรอด