นงนุช สิงหเดชะ/น้ำตา “กอบกาญจน์”

บทความพิเศษ/นงนุช สิงหเดชะ

น้ำตา “กอบกาญจน์”

ได้เห็นโฉมไปแล้วสำหรับการปรับคณะรัฐมนตรีรอบที่ 5 ของรัฐบาลภายใต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งโดยรวมแล้วไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่น่าจะเป็นการปรับเพียงแค่อยากจะได้ชื่อว่ามีคนใหม่ๆ เข้ามาใน ครม. บ้าง ท่ามกลางความนิยมที่ลดลง

แต่จะสามารถรักษาคะแนนนิยมให้ลากยาวไปจนถึงวันเลือกตั้งปลายปีหน้าเพื่อหวังสืบทอดอำนาจหรือไม่ ยังไม่มีอะไรมารับประกัน

ถึงแม้อำนาจการปรับ ครม. จะเป็นของนายกรัฐมนตรี แต่การจะปรับใครออกให้หลุดจากตำแหน่งไปเลยนั้น อย่างน้อยคนเป็นหัวหน้ารัฐบาลก็ต้องมีการให้เกียรติ โดยควรบอกกล่าวหรือแจ้งให้เจ้าตัวทราบล่วงหน้าโดยตรง

ไม่ใช่มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ไปแล้ว เจ้าตัวที่จะโดนปรับออกยังไม่รู้ตัวเลย มารู้อีกทีทางสื่อต่างๆ เมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น การทำแบบนั้นเสมือนไม่ให้เกียรติคนที่ทำงานหนักร่วมกับรัฐบาลมา

อาการที่ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้าให้คนที่จะถูกปรับออกทราบนั้น เห็นได้จากกรณีของ นางกอบกาญจน์ (สุริยสัตย์) วัฒนวรางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาต่อกระแสข่าวที่ว่าเธอเป็นหนึ่งในรายชื่อที่จะถูกปรับออก หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์มีการนำรายชื่อ ครม.ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯ ไปแล้ว

เธอบอกชัดว่า ไม่มีใครแม้แต่นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเลย เธอทราบทุกอย่างพร้อมๆ กับสื่อ และยอมรับได้หากจะถูกปรับออกเพราะได้ทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว

หากเป็นไปตามที่นางกอบกาญจน์พูด ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรีเสียมารยาทมาก ขาดการให้เกียรติ ไม่รู้จัก recognize คน ไม่รักษาความรู้สึกของผู้ร่วมงาน

“น้ำตา” ของนางกอบกาญจน์ สื่อถึงความน้อยใจมากกว่าอย่างอื่น เป็นความรู้สึกที่ว่า

1. ไม่ได้รับการให้เกียรติเมื่อจะถูกปรับออก

2. ผลงานด้านท่องเที่ยวโดดเด่นชัดเจน แต่ทำไมถูกปรับออก

เชื่อว่าสำหรับนางกอบกาญจน์ ไม่ได้เป็นฝ่ายดิ้นรนจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่แรก แต่ได้รับเชิญเข้ามาเพราะชื่อชั้นและฝีมือเมื่อตอนที่เธอทำงานภาคเอกชน ทั้งดำรงตำแหน่งซีอีโอของบริษัทโตชิบาไทยแลนด์ และตำแหน่งทางสังคม-ธุรกิจอีกมากมาย

ในเมื่อเป็นฝ่ายไปขอให้เธอมาช่วยงานรัฐบาล แล้วเหตุไฉนเมื่อจะปรับเธอออก จึงไม่มีการให้เกียรติด้วยการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า โดยเฉพาะจากคนที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล

นับตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ โดยที่การส่งออกซึ่งเคยเป็นหัวจักรใหญ่อันดับ 1 หดตัว ได้ฉุดรั้งให้เศรษฐกิจเติบโตต่ำมาก ก็ได้ภาคการท่องเที่ยวนี่เองมาเป็นตัวจักรสำคัญอันดับ 2 พยุงเศรษฐกิจเอาไว้

รายได้ท่องเที่ยวที่เคยมีสัดส่วนเพียง 9-10% ของจีดีพี ก็ขยับขึ้นมาเป็น 15% ของจีดีพี (มากกว่าการลงทุนภาครัฐที่มีสัดส่วนเพียง 10% ของจีดีพี) จึงทำให้เศรษฐกิจไม่ดิ่งลงมากนัก ซึ่งผลงานท่องเที่ยวตลอดช่วงที่นางกอบกาญจน์ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ถือว่าโดดเด่น เพราะปี 2559 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวแตะ 30 ล้านคน เป็นครั้งแรก สูงสุดเท่าที่เคยมีมา สร้างรายได้เกิน 2 ล้านล้านบาท ส่วนปีนี้ก็จะมากขึ้นไปอีก

มีกระแสข่าวแพลมออกมาว่า เหตุที่มีการนำ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ มาเสียบรัฐมนตรีท่องเที่ยวฯ แทนนางกอบกาญจน์นั้นเป็นเพราะรัฐบาลต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการประชุมและนิทรรศการนานาชาติ การท่องเที่ยวเพื่อรางวัล หรือที่เรียกว่าไมซ์ (MICE)

พูดให้เข้าใจง่ายคือเน้นลูกค้าที่เป็นองค์กรใหญ่ ส่วนนางกอบกาญจน์นั้นเน้นท่องเที่ยวภายในประเทศมากเกินไป

น่าแปลก ถ้าอยากได้ไมซ์มาก ทำไมไม่ให้นายวีระศักดิ์มาเป็นตั้งแต่แรก!

เพราะเหตุนี้หรือเปล่า เมื่อมีการประกาศรายชื่อ ครม.ใหม่ออกมาแล้วนางกอบกาญจน์จึงได้เขียนบันทึกเปิดใจตอนหนึ่งว่า “ภูมิใจที่ได้รับใช้ชาติ 3 ปี และช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นและชุมชน บนจุดยืนเศรษฐกิจพอเพียง” แต่เธอก็เขียนด้วยความสุภาพ ไม่ได้กระทบกระเทียบใคร

มีบางคนตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่าการปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 นี่แปลก เพราะดันปรับรัฐมนตรีของกระทรวงที่มีผลงานเด่นออกไป โดยนอกเหนือจากนางกอบกาญจน์ที่สร้างรายได้ท่องเที่ยวและจำนวนนักท่องเที่ยวสูงเป็นประวัติการณ์แล้ว ยังมี นางอภิรดี ตันตราภรณ์ ซึ่งโดนปรับออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ด้วย ทั้งที่กระทรวงของนางอภิรดีก็มีผลงานเด่นในระดับทำสถิติใหม่เช่นกันในแง่ของการส่งออก

ส่งออกที่เคยติดลบตลอดปี 2557-2558 ได้พลิกฟื้นมาเป็นบวกตั้งแต่ต้นปี 2559 อาทิ เดือนกุมภาพันธ์โต 10% แม้จะมีบางเดือนติดลบ แต่เฉลี่ยแล้วตลอดปีสามารถขยายตัว 0.45%

พอมาปี 2560 ส่งออกเป็นบวกตั้งแต่เดือนแรกและขยายตัวทุกเดือน จนทำสถิติใหม่ เช่น เดือนกรกฎาคม บวก 10.5% สูงสุดรอบ 7 ปี กันยายน บวก 12.2% ขยายตัวมากสุดในแง่ตัวเงิน ทำให้เมื่อสิ้นสุดไตรมาส 3 ส่งออกเติบโตมากถึง 12.5% เยอะที่สุดในรอบ 19 ไตรมาส

ส่วนการส่งออกข้าวนับถึงเดือนตุลาคม ก็ทำได้เกินเป้าหมาย คือเกิน 10 ล้านตัน และคาดว่าสิ้นปีจะส่งออกได้สูงเป็นประวัติการณ์ด้วย

แต่แน่นอนในแง่ของปากท้อง ค่าครองชีพ กระทรวงพาณิชย์ตกเป็นเป้ากระสุนตกอยู่แล้ว ในเรื่องเสียงโวยวายจากประชาชนว่าข้าวของแพง แต่เสียงโวยวายเช่นนี้ก็มีมาทุกรัฐบาล ยังไม่เคยเห็นมีรัฐมนตรีพาณิชย์คนไหนแก้ปัญหานี้ได้ในระดับที่ทำให้ประชาชนพอใจ

การปรับ ครม. ครั้งนี้ ในระดับหนึ่งจึงมีคำถามว่าปรับเอาของดีออก ส่วนของไม่ดี ของงั้นๆ ยังอยู่ครบหรือเปล่า เพราะบางคนผลงานแย่ในระดับทำสถิติใหม่

โดยเฉพาะคนที่ปล่อยให้มีการระเบิดศาลพระพรหมตาย 20 ศพ ซึ่งเป็นเหตุร้ายแรงสุดกลางเมืองหลวง ปล่อยให้มีการวางระเบิดภาคใต้พร้อมกัน 7 จังหวัด รุกคืบเข้ามาถึงประจวบคีรีขันธ์

แถมปล่อยให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลยคดีจำนำข้าวหนีออกนอกประเทศ โดยผ่านด่านทหารที่จังหวัดสระแก้วไปอย่างฉลุย ยังอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม นั่งควบ 2 เก้าอี้เช่นเดิม

ไหนจะมีแต่เรื่องทหารฉาวโฉ่ มากกว่ารัฐบาลไหนๆ ทั้งซ้อมพลทหารจนตาย ซ่อมนักเรียนเตรียมทหารจนตาย เข้าไปอีก