วางบิล เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ / สู่ร่มกาวสาวพัสตร์ จดหมายฉบับสุดท้าย

วางบิล
เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาวสาวพัสตร์
จดหมายฉบับสุดท้าย

ยังไม่ทันที่พระปานจะคิดทำอะไรจากนั้น พระครูพรหมเจ้าคณะที่พระปานสังกัด และพระพี่เลี้ยงเข้ามาที่กุฏิบอกให้ทำเครื่องหมายพินทุกัปผ้าและอธิษฐานผ้าครอง เครื่องอัฐบริขาร กับเครื่องบริขารอื่น โดยใช้ดินสอดำทำเครื่องหมาย “พินทุกัป” เป็นจุดกลมขนาดเม็ดถั่วที่มุมหรือปากกบผ้า อธิษฐานคราวละ 3 หน
“เวลาอยู่ที่กุฏิหรือในบริเวณวัดใช้ผ้าอาศัย สบงกับจีวรสองผืนนี้ก็ได้ ส่วนผ้าครองซึ่งเป็นผ้าอธิษฐานแล้ว สำหรับออกบิณฑบาต หรือออกไปนอกวัด ถ้าไปค้างแรมนอกวัดต้องมีผ้าครองไปด้วย ตามพระราชบัญญัติต้องใช้ครองตลอดเวลา จะเอาไว้ห่างจากตัวเกินกว่า 1 คืนไม่ได้ ถ้าเป็นวัดที่มีพัทธสีมา ไม่เป็นไร ผ้าอาศัยใช้สำหรับผลัดเปลี่ยนเวลาซักทำความสะอาดผ้าครอง ถ้าจะเปลี่ยนผ้าครองใหม่ต้องอธิษฐานใหม่ แล้วถอนผืนเก่าเสีย… เอาไว้ค่อยเรียนรู้ทีหลัง” พระครูพรหมอธิบายถึงการใช้ผ้าสามผืนพอสังเขปและว่า
“เดี๋ยวอาบน้ำ พักผ่อนซะก่อน หนึ่งทุ่มคืนนี้จะให้เณรพจน์พาไปหาเจ้าคุณใหญ่”
“ทำไมหรือครับ” พระปานสงสัย ได้รับคำตอบว่า
“ไปฟังสอนอนุศาสน์ เหมือนกับตอนบวช แต่ตอนนั้นท่านบอกเป็นภาษาบาลี คุณคงฟังไม่รู้เรื่องดอก… ก่อนไปแวะเอาดอกไม้ธูปเทียนแพใส่พานกับน้ำล้างปากที่ห้องผมก่อน” สั่งเสร็จพระครูพรหมเดินกลับกุฏิ
พอมีเวลาว่าง พระปานหยิบสมุดบันทึกจากกองหนังสือซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือธรรมะและปรัชญาที่นำมาจากบ้าน ตั้งใจจะอ่านระหว่างบวช ตามปกติไม่ค่อยมีเวลาอ่าน แล้วนอนพังพาบจดบันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่เข้าโบสถ์…
“นึกถึงตอนนี้แล้วอดขำตัวเองไม่ได้ คุณคิดดู ตอนที่ท่านเจ้าคุณใหญ่จะห่มผ้าอังสะที่เป็นเหมือนผ้าสะไบเฉียงให้ ต้องคล้องคอสะพายแหล่ง แต่เราพนมมืออยู่ พยายามจะเอามือที่พนมทั้งสองข้างสอดเข้าไปให้ได้ ทุลักทุเลอย่างนั้น จนท่านเจ้าคุณบอกให้แยกมือออกนั่นแหละ จึงได้สติ…” พระปานขึ้นต้นบันทึก
“ถ้าคุณอยู่ด้วยตอนถ่ายรูปคงต้องวุ่นวายกับเขาไปด้วย พี่สาวเรายิ่งวุ่นๆ อย่างที่เคยพบเคยบอกให้ฟังนั่นแหละ…” แล้วจบบันทึกวันแรกเพียงแค่นั้น พับสมุดไว้บนหัวนอน พอดีศรัญญา น้องสาวคนสุดท้องโผล่หน้าเข้ามาหน้าประตู
“อ้าว… มีอะไรอีกล่ะ” พระปานโพล่งถามไม่มีความหมาย
ศรัญญาล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบซองจดหมายออกมาวางให้ “เพิ่งมาถึงเมื่อบ่ายนี้เองค่ะ” พระปานรออยู่ครู่หนึ่ง หยิบจดหมายขึ้นดูจ่าหน้า พยักหน้ารับ “มีอะไรอีกไหม” ศรัญญาสั่นหน้าตอบแล้วบอกลา

“คุณคะ – ฉันตกใจจนจดหมายแทบร่วงจากมือเมื่ออ่านถึงการตัดสินใจของคุณ ยิ่งเมื่ออ่านต่อ และได้ทราบเหตุผลโดยตลอด แทบจะประคองจดหมายไว้ไม่อยู่ ความรู้สึกมันเต็มตื้นไปหมด น้ำตาไหลโดยที่ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะกลั้นไว้ และไม่ต้องการจะฝืนมันไว้ด้วย อยากจะร้องไห้ออกมาให้หมดน้ำตา ด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ดาโหมเข้ามาขณะเดียวกัน
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นไปได้เพียงนี้
ฉันทราบความรู้สึกของคุณขณะนี้ดีว่าเป็นอย่างไร คนที่เคยประสบปัญหาอย่างนี้มาแล้วย่อมรู้ดีว่ามันกินใจขนาดไหน เมยเป็นคนที่ไม่สามารถประคองตัวประคองใจได้ ใจไม่แข็งพอที่จะมองหน้าใคร จึงได้มาอยู่ที่นี่ อยู่อย่างคนที่แทบไม่มีหัวใจ ไม่มีจิตใจ มีแต่เด็กๆ เป็นเครื่องปลอบประโลมไปวันๆ เท่านั้น
อาชีพครูทำให้ฉันคิดอะไรไม่ได้มากนัก ต้องรบกับเด็กที่ไร้เดียงสา แต่ซื่อ บริสุทธิ์ จนเหนื่อยอ่อน… เหนื่อยแต่กาย จิตใจกลับเข้มแข็งขึ้นอย่างประหลาด มุ่งจะทำในสิ่งที่คิดว่าถูกแล้ว ควรแล้ว เพื่อเก็บเอาไว้ภูมิใจเงียบๆ เมื่อต้องออกจากอาชีพนี้ไป ซึ่งเป็นเมื่อไหร่ไม่รู้
สำหรับคุณ ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรถูก ในจังหวะที่คุณเข้ามาสู่ชีวิตฉัน เป็นช่วงที่ฉันเหงาอย่างที่สุด เหงาจนอยากฆ่าตัวตาย
กลับจากสอนหนังสือแล้วต้องมายืนริมหน้าต่างบ้านพัก ดูนกบินกลับรังยามเย็น ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลับหายไปจากทิวเขา
ค่ะ… ฉันร้องไห้ คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ พี่น้อง หลาน ห้องนอนอบอุ่น คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่คิดไม่ได้นาน ทั้งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้บ่อยครั้ง…
ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีเพื่อนครูอยู่เป็นเพื่อน ซึ่งเป็นการดี
เมื่อฉันได้พบคุณ ได้รู้จักคุณครั้งแรกในงานแต่งงานของเพื่อนที่นี่โดยบังเอิญ สองปีมาแล้ว ฉันยังจำได้ จำสายตาที่มองจ้อง ฉงนในที ราวกับคลับคล้ายคลับคลาว่าจะรู้จัก แต่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หรือแม้แต่เคยเห็น นอกจากที่คุณรู้จักเพื่อนฉันเพียงสองคนเท่านั้น
แล้วคืนนั้น คุณก็เมาเดินเซไปส่งฉันถึงบันไดบ้าน ก่อนจะขออนุญาตกลับไปนอน “ขอโทษด้วยนะครับ ผมเมามากไปหน่อย” คุณบอกฉันอย่างนั้นจริงๆ ฉันจำได้ดี
ตั้งแต่นั้นมา คุณก็เป็นแขกประจำของบ้านนี้ เป็นเพื่อนร่วมวงเหล้ากับครูใหญ่อย่างถูกคอ ไม่ใช่เอาใจเขาเพื่อให้เชียร์ฉันหรืออะไรอย่างนั้นหรอก หากไม่มีฉันก็เชื่อได้ว่าคุณจะต้องเป็นเพื่อนร่วมวงกับครูใหญ่คนนี้แน่เมื่อได้รู้จักกัน และแม้ว่าเราจะอยู่ห่างกันหลายร้อยกิโลเมตร แต่คุณกับฉันเหมือนไม่ได้อยู่ห่างกัน ไม่เกินสองเดือนที่คุณต้องเดินทางขึ้นมาหาฉันเสมอ ทั้งยังได้พบกันทางจดหมายไม่ขาด จนบางครั้งเพื่อนครูที่นี่ถามถึงคุณหายไป ห่างจากที่เคย
ฉันดีขึ้นในระยะหลังมานี้ ดีจนเพื่อนที่กรุงเทพฯ หลายคนเมื่อมีโอกาสพบกันต่างทักกันเกรียวว่าคงได้รับรู้ข่าวดีจากฉันในเร็ววันนี้ แต่ก็ดีเหลือเกิน ที่ไม่มีใครพูดถึงเขาคนนั้นให้ฟัง รู้แต่ว่าเขาแต่งงานไปแล้ว ซึ่งฉันรับฟังอย่างเฉยเมยที่สุด เปล่า… ไม่ใช่เพราะฉันมีคุณ หรือว่าลืมเขา แต่เรื่องมันสิ้นสุดไปนานแล้ว
คุณคะ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน และกาลเวลาก็กลืนกินสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไปสิ้น
“กาลเวลาเท่านั้นที่จะรักษาทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งแผลในหัวใจคน มันจะแปรเปลี่ยนไปสู่หนทางที่ดีกว่า หากเราสามารถทนได้ ประคับประคองใจไม่ให้หวั่นไหวไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะร้ายแรงสักเพียงใด
อดีตไม่ใช่สิ่งที่ควรลืม แต่จงขังมันไว้ในความทรงจำ อย่าให้มันมาเป็นเครื่องบั่นทอนชีวิตและอนาคต เราทุกคนมีสิทธิคิดถึงอดีตได้ แต่จงคิดเหมือนกับเราคิดถึงความหลังทั่วไป ทั้งทุกข์ทั้งสุข แล้วเก็บมันขังไว้อย่างเดิม มุ่งหน้าเผชิญกับปัญหาในปัจจุบัน…”
คุณเคยบอกฉันอย่างนั้น