ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กันยายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | เทศมองไทย |
เผยแพร่ |
“ชอว์น ดับเบิลยู. คริสพิน” ผู้สื่อข่าวมือเก๋า ที่เคยทำงานข่าวประจำประเทศไทยให้กับหลายๆ สื่อในอดีตนานนับทศวรรษ ปัจจุบันเป็นคอลัมนิสต์เจ้าประจำอยู่ที่ “เดอะ ดิพโพลแมต” หยิบเหตุการณ์วินาศกรรม 7 จังหวัดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมามาร่ายเอาไว้ยาวเหยียดเมื่อวันที่ 1 กันยายน เพื่อควานหาว่า “ใคร” อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
ก่อนที่จะตั้งสมมติฐาน หาข้อบ่งชี้และเหตุผล แล้วพิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในความเป็นจริงเป็นเปลาะๆ ไป คริสพินตั้งข้อสังเกตเอาไว้ก่อนเป็นเบื้องต้นว่า คำอธิบายของ “เจ้าหน้าที่รัฐบาล” ของไทยที่เน้นให้น้ำหนักไปที่กลุ่ม “เสื้อแดง” ซึ่งมีพันธมิตรอย่างกลุ่ม “วาดะห์” เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ การสอบสวนสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับแสดงให้เห็นถึงการเกี่ยวพันกับ “บาริซาน เรโวลูซี เนชั่นแนล-บีอาร์เอ็น” กลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ใต้สุดของประเทศ “เป็นด้านหลัก”
ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามเอาไว้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่ หน่วยงานด้านความมั่นคง “ต่างๆ” ของไทยแข่งกันสอบสวนในเรื่องนี้ “สวนทาง” กัน ด้วย “แรงจูงใจทางการเมือง” แตกต่างกัน?
คริสพิน บอกไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า ความขัดแย้งระหว่างทหาร-ตำรวจ “เข้มข้นมากขึ้น” หลังรัฐประหารเมื่อปี 2557 เมื่อ “ธุรกิจและเครือข่ายอาชญากรรม” ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตำรวจ ถูกถอนรากถอนโคนโดยทหาร ในนามของการต่อต้าน “การคอร์รัปชั่น” เนื่องเพราะตำรวจถูกมองว่าเป็น “ฐานทางการเมือง” ของอดีตนายกรัฐมนตรี
ตามข้อมูลของคริสพินนั้น นักการทูตกับนักวิเคราะห์บางส่วน เชื่อว่า “บีอาร์เอ็น” ดำเนินการครั้งนี้โดยลำพัง ซึ่งคริสพินชี้ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะกลายเป็น “จุดเปลี่ยนแสนอันตราย” ที่แสดงให้เห็นถึงการขยายตัวของการต่อสู้นาน 12 ปีเพื่อต่อต้านการปกครองจากเมืองหลวงของกลุ่มนี้ เพราะที่ผ่านมาความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนั้นไม่เพียง “จำกัดพื้นที่” แต่ยัง “จำกัดเป้าหมาย” หลีกเลี่ยงเป้าหมายที่เป็น “ตะวันตก” เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งในท้องถิ่นนี้ถูก “อินเตอร์เนชั่นแนลไลซ์” ทำให้เป็น “ปมสากล” ไป
นักวิเคราะห์ยังไม่แน่ใจว่า การโจมตีครั้งนี้ควรถูกตีความว่าเป็น “คำเตือน” เพียงครั้งเดียว หรือเป็นเพียงแค่ “ครั้งแรก” ของการลงมือที่จะมีอีกหลายครั้งเกิดขึ้นตามมา
ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ ระเบิดทำเองระดับ “โลว์-เกรด” ที่กู้มาได้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ จุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือที่ใช้ “ซิมการ์ด” จากประเทศมาเลเซีย ซึ่งยากแก่การติดตามสาวหาถึงผู้ซื้่อหาหรือครอบครอง แตกต่างกับ “ซิมการ์ด” ของไทยที่ควบคุมเคร่งครัดกว่า
มูลเหตุที่เป็นแรงจูงใจ? คริสพินแสดงเอาไว้เลา-เลา ว่า อาจมีที่มาจากความในร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในมาตราส่วนที่พูดถึงการให้ความคุ้มครองต่อพุทธศาสนาเหนือศาสนาอื่น ซึ่งว่ากันว่าเป็นที่มาของเสียงโหวต “โน” จำนวนมากในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ในขณะที่บอกเอาไว้ด้วยว่า นักวิเคราะห์บางส่วน เชื่อว่าการ “ขาดความคืบหน้า” ในการเจรจาเพื่อสันติภาพ “อาจเป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง” ของการก่อเหตุครั้งนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสังเกตตามมาไว้ด้วยว่า เมื่อ 23 สิงหาคมที่ผ่านมาก็เกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นในปัตตานี-ใหญ่กว่าทุกจุดที่เกิดขึ้น 7 จุดก่อนหน้านี้ ระเบิดรถยนต์ที่ว่านี้เกิดขึ้นควบคู่กันไปกับแผนฟื้นฟูการเจรจา “กัวลาลัมเปอร์ทอล์ก” กับกลุ่มที่เรียกว่า “มาราปาตานี” ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง พร้อมกับชี้ให้เห็นไว้ด้วยว่า บีอาร์เอ็นเองแทบไม่มีส่วนร่วมใดกับการเจรจาดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้การเจรจาไม่ได้ทำให้ความรุนแรงในพื้นที่ลดลงแต่อย่างใด
นอกจากนั้น คริสพินตั้งข้อสังเกตต่อว่า ในวันที่ 29 สิงหาคม ไทยกับมาเลเซียประกาศเตรียมลงนามในความตกลงทวิภาคีเพื่อสร้าง “กำแพงความมั่นคง” ขึ้นตามแนวชายแดนระหว่างประเทศทั้งสอง พร้อมๆ กับการขยายความร่วมมือระหว่างกันในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามแดน และประเด็นของการถือสองสัญชาติของพลเรือนตามแนวชายแดน อันเป็นความตกลงที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหมกับ อาหมัด ซาฮิด ฮามาดี รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
ชอว์น คริสพิน ยอมรับว่า เนื่องจากบีอาร์เอ็นไม่เคยแสดงตัวตน ทำงานอยู่ในเงามืดตลอดเวลา มูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้จึงยังคงเป็นเรื่องที่สามารถ “ตีความ” กันได้อย่างกว้างขวางอยู่ต่อไป
เขาสรุปเอาไว้อย่างคลุมเครือแต่คมคายทีเดียวว่า
“แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ทั้งสองฟากที่แตกแยกกันหนักในการเมืองไทยและรวมไปถึงกลุ่มทหารที่แก่งแย่งแข่งขันกัน ต่างเป็นที่รู้กันดีว่ามีสายสัมพันธ์อยู่กับกลุ่มก่อความไม่สงบและเครือข่ายอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องด้วยกันทั้งนั้น และทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงใต้ดินดังกล่าวมาแล้วในความขัดแย้งทางการเมืองยืดเยื้อนับสิบปีที่ผ่านมาเพื่อบ่อนเซาะคู่แข่งในกรุงเทพฯ และในภูมิภาค”
วินาศกรรม 7 จังหวัดจึงไม่น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายในทัศนะของหลายๆ คน
นั่นคือข้อสรุปของ คริสพิน ครับ!