การเมืองระหว่าง ‘เขาควาย’ ‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ แตกหัก ปธ.สภา

หลังปรากฏข่าวลือการทุ่มเงินกว่า 6,000 ล้าน ตั้งเป้าซื้อ ส.ส.กว่า 60 คน ใน 312 ส.ส.ของฝั่ง 8 พรรคที่จับมือกันตั้งรัฐบาล ให้ย้ายข้างเปลี่ยนฝั่งทางการเมือง

คำว่า “ควาย” ก็ปรากฏอยู่ในพาดหัวข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์หลายฉบับ เนื่องมาจากเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ใช้คำว่า “ควาย” เรียกแทนบุคคลที่ยอมจ่ายเงิน 100 ล้านซื้องูเห่า

แม้ “ควาย” จะเป็นสัตว์เศรษฐกิจทรงคุณค่า แต่ในมิติภาษาไทย คำว่า “ควาย” มีความหมายไม่ดีเท่าไหร่มานาน

ดูจากในสำนวนไทยเกี่ยวกับ “ควาย” เช่น สีซอให้ควายฟัง, โตเป็นวัวเป็นควาย, ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก

อีกอันหนึ่งไม่ใช่เชิงสุภาษิตไทย แต่เป็นสำนวนเกี่ยวกับควายที่มักใช้ในทางการเมือง คือ “ระหว่างเขาควาย!” อันมีความหมายถึง ‘ตกอยู่ในระหว่างอันตราย’

อันตรายในสถานการณ์ความขัดแย้ง สถานการณ์วิกฤตที่แบ่งเป็น 2 ขั้ว 2 ฝั่ง อาการของการที่จะไปขวาก็เสือ ซ้ายก็จระเข้ นั่นแหละคือ อยู่ระหว่างเขาควาย!

เหมือนสถานการณ์ของ 8 พรรคฝั่งชนะเลือกตั้งนำโดยพรรคก้าวไกลตอนนี้นี่แหละที่อยู่ระหว่างเขาควาย!

 

หากใช้คำว่า “ผิดปกติ” อาจไม่ถึงใจ หลายคนจึงจงใจใช้ว่า “วิปริต” เพื่อสะท้อนอารมณ์การเมืองได้ดีกว่ากับการเมืองไทยหลังเลือกตั้งใหญ่ 2566

เพราะด้วยพรรคการเมือง 2 พรรคใหญ่ชนะเลือกตั้งขาดลอย คะแนนเสียงเลือกพรรครวมกัน แค่ 2 พรรคก็มากกว่า 25 ล้านคนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจเปลี่ยนขั้วการเมืองไทย โหวตให้ 2 พรรคเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาล ปฏิเสธผู้มีอำนาจเดิมที่ยึดครองทำเนียบมานาน 9 ปี

25 ล้านคนจูงมือพา 2 พรรคการเมืองใหญ่คือก้าวไกลและเพื่อไทย มาส่งถึงหน้าประตูทำเนียบ แต่ติดปัญหามีคนของอำนาจเก่าขัดขวางประตู ไม่ยอมเปิดให้เข้า

ไม่ต้องถามว่าทำไมโลกเขาถึงสงสัย ทำไมสำนักข่าวต่างประเทศทำรายงานพิเศษเกี่ยวกับการเมืองไทยหลายชิ้นในรอบเดือนที่ผ่านมาถึงอาการวิปริตทางการเมืองที่เกิดขึ้น ก็ด้วยผลจากวิกฤตรัฐธรรมนูญ 2560 นี้เอง

8 พรรคว่าที่ฝ่ายรัฐบาล แม้จะสามารถก้าวเข้าไปรายงานตัวรัฐสภาได้แล้ว แต่อนาคตการเป็นรัฐบาลดูไม่สดใสเลยจริงๆ เพราะ “อยู่ระหว่างเขาควาย” นั่นแหละ

 

“เขาควายข้างแรก” 8 พรรคนำโดยก้าวไกลถูกกระหน่ำด้วยสงครามช่วงชิงทางการเมือง ขั้วอำนาจเก่ายังไม่ยกธงยอมแพ้ มีการเคลื่อนไหวอย่างหนักหลังฉาก โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ผลเลือกตั้งปรากฏ

ท่ามกลางความชุลมุน ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่นานก่อนมีการเปิดสภาและโหวตเลือกประธานสภา รวมถึงการเลือกนายกฯ สัปดาห์ที่ผ่านมา วันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภาตัวตึง ส่งสัญญาณการเมืองฟันธง ฝ่ายชนะเลือกตั้ง จะแพ้คะแนนโหวต

“ฝ่าย 312 ชนะเลือกตั้งขาดลอย… แต่แพ้คะแนนโหวต อีกฝ่าย 188 แพ้เลือกตั้งราบคาบ… แต่ชนะคะแนนโหวต” วันชัยระบุ

วันต่อมาปรากฏกระแสข่าวแพร่สะพัดว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลใหม่ รัฐบาลที่ไม่ได้มีพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ มีการปล่อยข่าว ระบุว่ามีการเตรียมซื้อ ส.ส. “งูเห่า” 60 คน คนละ 100 ล้าน รวมเป็น 6,000 ล้านบาท กระทั่งเป็นที่มาของคำว่า “ควาย” ในบทสัมภาษณ์ของอนุทิน ชาญวีรกูล

วันเดียวกันยังปรากฏข่าว นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รักษาการ รมว.ดีอีเอส ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ยกย่อง “ลุงป้อม” มีคุณสมบัตินั่งนายกฯ ได้ หลังมีกระแสข่าวชิงเก้าอี้นายกฯ

“พล.อ.ประวิตรมีความพร้อมและสามารถเป็นนายกฯ ได้ ขึ้นอยู่กับการลงมติในสภา ทั้งนี้ พรรคร่วมที่จัดตั้งรัฐบาล เขาจับมือกันแล้ว ต้องรอดูตรงนั้นก่อน คงยังไม่ถึงเวลาที่จะมาพูดคุยกันในเรื่องนี้” ชัยวุฒิระบุ

สอดรับกับเสียงของ ส.ว.ต้านก้าวไกลสายฮาร์ดคอร์ อย่างสมชาย แสวงการ และ เสรี สุวรรณภานนท์ ที่ออกมาขยับส่งเสียงกดดันเพื่อนสมาชิก ยืนยันมีคนโหวตพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ แค่ 5 คน ทั้งยังขายความคิด 14 ล้านเสียงที่เลือกก้าวไกล ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ คนไม่เลือกมีเยอะกว่า

จะเห็นว่า 8 พรรคที่จับมือกันตั้งรัฐบาล ยังต้องเจอกับเกมการช่วงชิงทางการเมืองในระบบที่คู่แข่งทางการเมือง แม้จะแพ้ศึกเลือกตั้ง แต่อยู่ในสถานะพร้อมรุกโต้กลับเต็มที่

โดยรวม นั่นถือเป็นปัญหาทางการเมืองในฐานะ “เขาควาย” ข้างแรก การเมืองการต่อสู้ต่อรองในสภา

 

ขณะที่ “เขาควาย” อีกข้าง เป็นเรื่องของวิกฤตการเมืองนอกสภา ที่กำลังรุกรบ ก่อสงคราม สร้างวิกฤตให้กับ 8 พรรคร่วมว่าที่รัฐบาลก้าวไกล-เพื่อไทยอย่างหนัก

ไล่มาตั้งแต่ปัญหาหุ้นสื่อไอทีวี ที่ดูเหมือนจะเบาลง เพราะขบวนการปลุกผีไอทีวีจำนนต่อหลักฐาน แต่ก็ยังมีประเด็นอื่นๆ ในการเล่นงานพิธาและพรรคก้าวไกลตามมาติดๆ

ล่าสุดคือกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งด่วน ให้อัยการสูงสุดตอบคำถาม กรณีทนายความของอดีตพุทธะอิสระ ไปร้องเรื่องนายพิธาพูดเรื่องแก้ไข 112 เป็นการใช้เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ตอบคำถามนี้ใน 15 วันว่าอัยการสูงสุดรับคำร้องหรือไม่ และดำเนินการอย่างไร

อาการคล้ายองค์กรอิสระตั้งแท่นรอแล้ว… นี่วิบากกรรมล่าสุดของว่าที่นายกฯ คนที่ 30 ต้องเจอ

ยังมีกรณีการขุดเรื่อง 112 กลับมาพูดใหม่โดย ส.ว. รอบนี้ออกโรงนำโดย คำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่นำเสนอประเด็น การแก้ 112 ของพรรคก้าวไกลคือการลดการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ โดยอ้างว่าเป็นแนวคิดที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 6 การแก้ไข 112 ส่งผลก่อให้เกิดการละเมิดมากขึ้น

นับเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เพราะการเคลื่อนไหวต้านพรรคก้าวไกลของ ส.ว.ก่อนหน้านี้ เน้นแนวปะ ฉะ ดะ เสียมาก แต่คำนูณมาแนววิชาการ ปูทางไปสู่การโหวตนายกฯ สร้างคุณค่าให้ชุดความคิดที่จะไม่ต้องโหวตให้พิธา มากกว่าการด่ากราดนั่นเอง

ยังมีเรื่องวาทกรรมชาตินิยมที่ผุดขึ้นมาตอนนี้อย่างเรื่องแบ่งแยกดินแดน มีการนำคลิปคำพูดเชิงวิชาการบางส่วนของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยโยงเข้ากับทฤษฎีสมคบคิดการแบ่งแยกดินแดน ถูกผลิตซ้ำกระจายในโลกโซเชียล ตอกย้ำด้วยการเดินหน้าทางคดีจากฝ่ายความมั่นคงที่โยงไปหนึ่งพรรคการเมืองบางส่วนใน 8 พรรค จนธนาธรอยู่ไม่ติด ต้องออกมาชี้แจงร่ายยาวที่มาที่ไปของคำพูดและวิจารณ์สื่อมวลชนบางสำนักที่จงใจบิดเบือน สร้างวาทกรรมโจมตี ละเลยจรรยาบรรณ

ขณะที่ฟากนักร้องก็ยังทำงานต่อเนื่อง ถัดจากเรื่องหุ้นไอทีวีที่เงียบไป ล่าสุด กระทุ้งพิธา ผุดประเด็นการขายที่ดิน 14 ไร่ เรื่องนี้แม้ความถูกผิดยังต้องรอการพิสูจน์ตามกระบวนการ แต่ผลจากการเคลื่อนไหวเหล่านี้ มีส่วนตอกย้ำความเชื่อทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามพิธาไปแล้ว

นั่นคือวิบากกรรมเกมคุณสมบัติที่พิธาต้องเจอ เดี๋ยวรอเปิดบัญชีทรัพย์สินอีกไม่นานก็โดนอีก

พิธาและก้าวไกลในฐานะแกนนำ 8 พรรคว่าที่รัฐบาลใหม่ ยังต้องเจอกับการต่อสู้เชิงความคิดจากฝั่งอนุรักษนิยมไทยที่เริ่มขยับทำงานอย่างหนักในทุกระดับ ดูจากประเด็นเรื่องหยกกับการต่อสู้อำนาจนิยมในโรงเรียน หรือประเด็นวาทกรรมชาตินิยม การแบ่งแยกดินแดน เป็นต้น

จะเห็นอนุรักษนิยมไทยออกมาส่งเสียง ตั้งแต่ระดับเบาๆ ไปกระทั่งฮาร์ดคอร์

ดีที่ว่า ประเด็นสหรัฐแทรกแซงการเลือกตั้งไทย ตกไป ไม่มีใครซื้อ คนส่วนใหญ่มองเป็นเรื่องตลก ทั้งหมดสะท้อนว่าพลังฝ่ายจารีตไม่ได้อ่อนแอลง แต่แค่สงบลงรอ “อาหาร” ชิ้นใหม่ มาเป็นพลังงานให้ขยับเคลื่อนไหวในภายภาคหน้าเท่านั้น

 

นั่นคือตัวอย่างปัญหาการเมืองในฐานะ “เขาควาย” ทั้งสองข้าง ที่ 8 พรรคร่วมในเอ็มโอยูรัฐบาลใหม่กำลังเผชิญต่อเนื่องมาอย่างหนัก และดูท่าจะยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้นในอนาคต

ด้วยปัญหาใน 8 พรรคก็ปรากฏ จากการปะทะกันของพรรคก้าวไกล และเพื่อไทย ซึ่งเป็นการชนกันในระดับวาระทางการเมืองครั้งใหญ่ครั้งแรก นั่นคือ เก้าอี้ประธานสภา

ในช่วงแรกที่เกิดปัญหาดูเหมือนจะจบด้วยดีผ่านการให้สัมภาษณ์ของแกนนำพรรคเพื่อไทยย้ำจุดยืนให้พรรคอันดับ 1 ทำหน้าที่ประธานสภา แต่ก็เกิดปัญหาที่ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยส่งเสียงไม่ยอม เพื่อไทยต้องชิงเก้าอี้ประธานสภา

เกมถูกเดินผ่านคำให้สัมภาษณ์ของอดิศร เพียงเกษ ตามด้วยการสนับสนุนหนักแน่นของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กระทั่งพรรคเพื่อไทยยืนยันในสูตร 14+1 ก้าวไกลได้ 14 รัฐมนตรี+1 นายกรัฐมนตรี ส่วนเพื่อไทยได้ 14 รัฐมนตรี+1 ประธานรัฐสภา

ย้ำในตรรกะคณิตศาสตร์การเมือง เพื่อไทยได้คะแนนเสียงห่างก้าวไกลแค่ 10 เก้าอี้ สมควรได้เก้าอี้ประธาน มิใช่ 2 รองประธาน ทำให้สถานการณ์ทั้ง 2 พรรคถูกมองว่าอาจ ‘แตกหัก’ เมื่อก้าวไกลขอเลื่อนการเจรจากับเพื่อไทยออกไป และได้เปิดตัวนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เป็นแคนดิเดตประธานสภา ตอกย้ำก้าวไกลไม่ถอย ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะทั้งในเรื่องประธานสภา และอาจต่อเนื่องไปถึงการเสนอชื่อนายกฯ

ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร การเจรจาจะคลี่คลายไปทางไปไหน แต่ในทางการเมืองที่เกิดขึ้น วิวาทะที่เกิดขึ้น คืออาหารอันโอชะ เข้าทางฝ่ายขั้วอำนาจเก่าที่พร้อมจะตอกลิ่มเพื่อให้ก้าวไกล เพื่อไทย และ 6 พรรค แตกสลาย

ทำให้ตอนจบของเรื่องประธานสภา คงไม่จบแบบง่ายดายแน่

ทั้งที่จริงเรื่องมันง่ายมาก ถ้ามีเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองร่วมกันจริง ไม่ต้องทนเถียงกัน ให้กองเชียร์ทะเลาะกันนานเป็นเดือนๆ เช่นนี้

ยื้อกันมานานจนคนเขาสงสัยว่า มันมีสคริปต์ เขียนบทล่วงหน้าไว้หมดแล้ว

ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ จตุพร พรหมพันธุ์, ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แต่การวิเคราะห์การเมืองของทั้งคู่รอบ 1-2 เดือนผ่านมา ส่วนใหญ่ก็ตรงตามที่ทั้ง 2 ท่านว่ามา แล้วแบบนี้จะไม่ให้คนเขาสงสัยได้อย่างไร

ว่าที่รัฐบาลใหม่จึงเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ เป็นการเมืองที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ดั่ง “อยู่ระหว่างเขาควาย! นั่นเอง