คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง : กอบเมฆกำหมอกบูชา เหล่าทวยเทพเทวา แห่ง “ดอยหลวงเชียงดาว”

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

ในชีวิต น้อยครั้งที่เราจะไปนอนอยู่ในใจกลางเมฆ จนราวกับจะกอบเอามาปั้นแต่งได้

น้อยครั้งที่เราจะไปอยู่ในธรรมชาติบริสุทธิ์ ที่ซึ่งต้นไม้ใบหญ้าขับขานบทเพลงที่หูไม่อาจได้ยิน และในขณะที่ก้าวเดินไปด้วยความยากลำบากเหลือแสน แต่เพียงแค่เงยหน้าจากพื้นดินก็พบแดนสวรรค์อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง

เป็นทิวทัศน์งามราวกับได้หลุดพ้นจากสังสารวัฏชั่วคราว ไอหมอกเย็นสดชื่นเคล้าเคลียใบหน้า ดวงอาทิตย์อบอุ่นอ่อนโยน และดอกไม้ป่าที่งามอย่างซื่อๆ ง่ายๆ ส่งยิ้มให้ในขณะพักเหนื่อย

ผมพาร่างกายหนักเฉียดร้อยกิโลของตัวเองไปยัง “ดอยหลวงเชียงดาว” ด้วยความลังเลเหลือประมาณว่าจะทำอย่างไรไม่ให้สังขารของตนกลายเป็นสัมภาระที่หนักที่สุดในการเดินทาง ทว่าด้วยคำเชิญชวนของมิตรและเสียงเรียกของภูเขาสูงเสียดฟ้า วันหนึ่งผมก็พบว่าตัวเองมาอยู่ที่ตีนดอยแล้ว

ผมเป็นมนุษย์ที่รักความสะดวกสบายเป็นที่สุด การท่องเที่ยวชนิดบุกป่าฝ่าดงไม่ใช่แนวทางของผม แต่เพราะ วิจักขณ์ พานิช บอกว่าดอยหลวงเชียงดาวเป็น “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์” ที่ผมควรจะต้องไป “แสวงบุญ” สักครั้งในชีวิต ผมจึงไปแบบชนิดลังเลจนวินาทีสุดท้าย

จะไม่ลังเลยังไงล่ะครับ ดอยหลวงเชียงดาวเป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับสามของประเทศ แถมมีแต่คนบอกว่าเอ็งตายแน่ๆ

 

สมัยเรียนปริญญาตรีที่เชียงใหม่ พอจะจำได้เลาๆ ว่า เพื่อนคนเมืองเคยบอกว่าดอยหลวงเชียงดาวเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และแม้แต่พระภิกษุสายป่าต่างก็เคยพากันมาจาริกยังดอยหลวง

ขณะที่เข้าไปยังเขตตัวอำเภอเชียงดาว ดอยหลวงปรากฏให้เห็นอย่างน่าเกรงขาม ท่านช่างสูงลิบลับ มีเมฆลอยคลอเคลียจนมองไม่เห็นยอด ก็ได้แต่รำพึงกับตัวเองว่าเราจะขึ้นไปถึงบนนั้นได้จริงๆ หรือ

แต่ด้วยกำลังใจจากเพื่อนๆ ภรรยาและการนำของพี่อ้วน นิคม พุทธา แห่งค่ายเยาวชนเชียงดาวผู้รักดอยหลวงราวกับรักบรรพชน ผมจึงยอมทำสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำ

ผมขึ้นดอยหลวงด้วยความยากลำบาก ในช่วงขาขึ้นซึ่งยังไม่ถึงครึ่งทาง ผมเริ่มมีอาการบาดเจ็บที่ขาทั้งสองจากระยะทางที่ยาวไกลและความลาดชัน ทำให้ต้องหยุดพักเป็นระยะ จนเพื่อนและภรรยากลัวว่าจะพลบค่ำก่อนจะถึงที่หมาย

ผมไม่รู้จะทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนั้น บางครั้งเราเดินอยู่ในกลุ่ม บางครั้งเราเดินอย่างโดดเดี่ยวเงียบงันเพราะกลุ่มล่วงหน้าไปแล้ว บางครั้งมีคนทั้งสวนลงมาและแซงขึ้นไป บางครั้งรู้สึกว่าทั้งภูเขามีแต่ผมเดินกับภรรยาเพียงแค่สองคน

ความท้อแท้ลังเลเข้ามาประดัง ความกังวลกลัว ความโดดเดี่ยวสิ้นหวังระคนสับสนผุดพรายเป็นระยะ

แต่การเดินทางบนภูเขาเหมือนการปฏิบัติธรรม เมื่อขึ้นมาแล้วก็ต้องไปให้ถึง เรามาไกลเกินกว่าจะเดินกลับ แต่เราก็เหนื่อยจนไม่คิดว่าจะไปถึงที่หมาย ครั้นจะอยู่ระหว่างทางก็ไม่ได้ มันจะมืดค่ำอันตราย

สุดท้ายก็ทำได้แค่บอกตัวเองเพียงว่า ก้าวไปข้างหน้า ก้าวไป ก้าวไป เหมือนที่พี่อ้วนบอกว่า ก้าวทุกก้าวก็ถึงทุกก้าว

 

เบื้องหน้าเราเต็มไปด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ว่าอีกไกลไหม ไม่รู้ว่าข้างหน้าคืออะไร เส้นทางที่เล็กและแคบทำให้แม้เราจะมีเพื่อน แต่สุดท้ายมีเพียงตัวเราที่จะต้องประคับประคองตัวเองไป ไม่มีใครช่วยใครได้ในเส้นทางของแต่ละคน

ผมบาดเจ็บทำให้ก้าวเดินลำบาก จึงต้องกลับมาอยู่กับกายใจของตัวเอง ไว้วางใจในแต่ละย่างก้าวของตัวเอง ไว้วางใจไม้เท้า ไว้วางใจรองเท้า ไว้วางใจกล้ามเนื้อแต่ละมัด สังเกตอาการของมัน ปรับเปลี่ยนมันเท่าที่จะทำได้

ผมถึงยอดดอยโดยใช้เวลามากกว่าคนอื่นๆ ในทีมเกือบสามชั่วโมง โดยความเหนื่อยล้าเต็มที่ ทว่าโล่งใจอย่างที่สุด

ค่ำคืนบนยอดดอยหนาวเหน็บ และหมอกลงจัดจนแทบไม่เห็นอะไร ผมตื่นขึ้นในเวลาราวตีสามเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง

ในความมืดมิดปราศจากไฟฟ้า และความเงียบสนิทของป่า ผมได้ยินเสียงที่ทั้งน่าอัศจรรย์ใจและหวั่นกลัว เป็นเสียงลมภูเขาพัดหวีดหวิวราวกับอยู่ริมทะเล บางครั้งมาจากฟากหนึ่ง บางครั้งก็ได้ยินจากอีกฟากหนึ่ง ผมนอนฟังเสียงนั้นในความมืดและสติที่มีเพียงครึ่งเดียว มันช่างลึกลับจริงๆ

นั่นทำให้ผมนึกถึง “รุทรเทพ” ในคัมภีร์พระเวท รุทรเทพหรือในภายหลังได้แก่พระศิวะนั้น คือเสียงหวีดหวิวบนภูเขาชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง ซึ่งชาวอินเดียโบราณน่าจะได้ยินไม่ต่างจากที่ผมได้ยินในคืนนั้น

ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกให้ท่านผู้อ่านรับรู้ได้อย่างไรในขณะที่กำลังฟังเสียงนั้นในความมืดมิด แต่เป็นค่ำคืนที่ผมจะจดจำไปอีกยาวนาน

 

ขณะอยู่บนยอดดอย ผมถามพี่อ้วนถึงตำนาน “เจ้าหลวงคำแดง” อารักษ์ของดอยหลวงเชียงดาว พี่อ้วนเล่าว่า ตำนานเจ้าหลวงคำแดงมีหลายสำนวนปรากฏใน “ปั๊บสา” หรือตำรากระดาษสาล้านนา ว่าเดิมท่านเป็นบุตรเจ้าเมืองพะเยาออกตามกวางทองมาถึงถ้ำเชียงดาว กวางทองก็ปรากฏเป็นหญิงสาวและทั้งสองหายเข้าถ้ำไป

ส่วนอีกตำนานว่า ท่านเป็นหัวหน้าอารักษ์เชียงใหม่มีบริวารหมื่นตน ทำหน้าที่เฝ้าของศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำเชียงดาว อาทิ ดาบศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ เพื่อรอให้พระเจ้าทรงธรรมมารับเอาไปปราบยุคเข็ญ

ผู้คนจึงถือว่าท่านเป็นอารักษ์ของดอยหลวงเชียงดาว โดยมีหอผีของท่านอยู่ที่ถ้ำเชียงดาว

ชาวบ้านเชื่อว่า เจ้าหลวงคำแดงเป็น “เก๊าผี” หรือหัวหน้าผีทั้งหมดในเชียงใหม่ และเชื่อว่าในทุกวันพระวันศีล เจ้าหลวงคำแดงจะเรียกชุมนุมผีทุกตนในเชียงใหม่ที่ดอยหลวงเชียงดาว ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบมาว่าจะได้ยินเสียงสวดมนต์ดังมาแต่ดอยหลวงในวันพระ

พี่อ้วนยังเล่าอีกว่า สมัยหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมป่าไม้ พยายามผลักดันโครงการกระเช้าไฟฟ้าขึ้นดอยหลวง พี่อ้วนจึงจัดรณรงค์คัดค้าน ทว่าชาวบ้านบางส่วนอยากให้มีเพราะคิดว่าจะช่วยให้ความเจริญมาถึง

วันหนึ่งพี่อ้วนพาเพื่อนไปเที่ยวถ้ำเชียงดาว ขณะรอเพื่อนก็พบหญิงชราขายดอกไม้ผู้หนึ่งถามไถ่เรื่องกระเช้า แกบอกพี่อ้วนว่า จะไปทำได้อย่างไรมัน “ขึด” (เสนียดจัญไร) เพราะมันต้องข้ามหัวพระ (คือพระพุทธรูปทั้งหลายในถ้ำเชียงดาว) และข้ามหัวเจ้า (คือเจ้าหลวงคำแดง)

พี่อ้วนจึงเกิดไอเดียใช้เรื่องนี้รณรงค์ว่า กระเช้าจะเป็นการไม่เคารพต่อความศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านยึดถือมาแต่ปู่ย่าตายาย ปรากฏว่าชาวบ้านให้การสนับสนุนอย่างมากมายจนโครงการพับไป และเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ไม่อาจขึ้นดอยหลวง (โดยเฮลิคอปเตอร์) ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะอากาศไม่เคยเป็นใจ

ครั้นพี่อ้วนจะกลับไปหาคุณยายคนนั้นหลังการรณรงค์ ปรากฏว่าไม่พบแก และถามหาจากใครก็ไม่รู้จัก

พี่อ้วนเล่าไปด้วยน้ำตารื้นในตาและบอกผมว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสั่นสะเทือนในหัวใจแกอย่างยิ่ง

 

ที่ผมเล่ามามิใช่เพื่อจะเชิญชวนให้เชื่อในสิ่งเร้นลับนะครับ ซึ่งนั่นย่อมเป็นสิทธิที่ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ทว่าผมพบว่า ดอยหลวงเชียงดาวต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ เพราะมีทั้งมิติของการอนุรักษ์ในทางสิ่งแวดล้อม ทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พฤกษศาสตร์และคติความเชื่อของชาวบ้านที่ถูกให้ความสำคัญพอๆ กัน

และความสำคัญเช่นนั้นปรากฏในใจในความรู้สึกของชาวบ้านชาวเชียงดาวผู้เป็นเจ้าของพื้นที่

ผีที่ดอยหลวงหรือทวยเทพที่ดอยหลวงจึงศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับผม เพราะยังดำรงความหมายในใจผู้คน และทรงอานุภาพที่จะรักษาทั้งธรรมและธรรมชาติไว้ได้

ขณะที่ลงจากดอยหลวงเชียงดาว ผมได้นำหินสลักมนตร์แห่งความกรุณา “โอม มณี ปัทเม หุม” ก้อนเล็กๆ จากนครปฐมซึ่งผมสลักเอง ไปมอบให้ดอยหลวงเชียงดาวในมุมที่เห็นโลกในภาพกว้าง โดยหวังว่าจะเป็นกุศลและพรแก่สรรพสัตว์

ดอยหลวงเชียงดาวนั้นศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับผม มิใช่แค่เพราะเรื่องเล่าตำนานความเชื่อ แต่ด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และความงามที่ทวยเทพเทวาแห่งดอยหลวงเชียงดาวมอบให้ผู้มาเยือนด้วยความเคารพ

ทำให้นึกถึงคำสอนในฝ่ายมหายานที่ว่า ต้นไม้ทุกต้นดอกไม้ทุกดอกล้วนแสดงธรรม อยู่ที่เราจะได้ยินหรือไม่

ผมไม่กล้าอวดอ้างว่าตัวเองได้ยินหรือเข้าถึงธรรมแม้ระดับต่ำที่สุด แต่ดอยหลวงนั้นมอบพลังทางใจให้กับทุกผู้คน

เป็นดินแดนที่ผีพราหมณ์พุทธดำรงร่วมกันอย่างสันติในธรรมชาติงดงาม

ในยามอยู่บนยอดดอย ซึ่งใกล้ “เมืองบน” แค่เอื้อม อยากจะกอบเมฆกำหมอกมาปั้นเป็นปุบผาลาชะบูชา ทวยเทพเทวาแห่งดอยหลวงเชียงดาว