เครื่องเคียงข้างจอ วัชระ แวววุฒินันท์ / แพะว่อนจอ

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

แพะว่อนจอ

ช่วงนี้ผู้ชมที่ติดตามข่าวสารผ่านทางหน้าจอ คงจะลุ้นกับความเป็นมา และที่กำลังจะเป็นไปของข่าวดัง 2 ข่าว คือ “การเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์” และ “คดีครูจอมทรัพย์”

ข่าวแรกนั้นเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้เอง และก็สร้างกระแสการรับรู้ และการพูดถึงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะได้สร้างความสะเทือนใจต่อการจากไปของนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่ดูเหมือนจะจบชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ เป็นเรื่องที่ผสมผสานเอาความอยากรู้ของผู้เสพข่าวมาไว้อย่างครบถ้วน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประเด็นความสูญเสียของครอบครัว ที่ต้องเสียลูกชายคนเดียวไปอย่างกะทันหัน

ทั้งประเด็นความอึมครึมของโลกในรั้วทหาร ที่คนภายนอกยากนักจะล่วงไปรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้

ทั้งเรื่องเชิงสืบสวนสอบสวนว่า ตกลง นตท.ภคพงศ์ หรือน้องเมย เสียชีวิตด้วยสาเหตุใดกันแน่ เป็นการตายตามปกติ หรือผิดธรรมชาติ

และที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ก็คือ “วาจา” ของคนเป็นใหญ่เป็นโต ที่เป็นใหญ่เป็นโตทั้งในแวดวงทหาร และเป็นใหญ่เป็นโตในแวดวงของผู้มีอำนาจปกครองประเทศ

นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการ “ขาดสติ” ที่ไม่ได้คิดก่อนพูด และพลอยทำให้คิดว่าท่านคง “ขาดเมตตา” ให้กับครอบครัวของผู้สูญเสีย และตัวน้องเมยเองด้วย

สุดท้ายต้องออกมาแก้เกี้ยวด้วยการกล่าวเสียใจ และขอโทษ ซึ่งควรจะเป็นประโยคแรกของการให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ตามมาด้วยการออกคำสั่งให้ตั้งคณะสอบสวนเพื่อหาความจริงให้กระจ่าง หากใครผิดก็ไม่มียกเว้น

เช่นกันที่การออกคำสั่งนี้ควรจะเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันตั้งแต่ต้นๆ มากกว่าจะเป็นการพูดเหมือนแก้ตัว ด่วนสรุป ชี้นำ และบางทีก็เหมือนดูถูกคนอื่นด้วยซ้ำ

เรื่องของน้องเมยนี้ อดทำให้นึกถึงหนังฮอลลีวู้ดเรื่องหนึ่งเมื่อ 25 ปีก่อนไม่ได้ ชื่อ A Few Good Men เป็นเรื่องของทหารชั้นผู้น้อยถูกทำโทษจนเสียชีวิต โดยมีสาเหตุจากการกระทำของเพื่อนร่วมกองทัพ ซึ่งที่แท้แล้วเป็นผลพวงจากการออกคำสั่งของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ให้เพื่อนทหารด้วยกันทำ “รหัสแดง” หรือรหัสของการลงโทษแบบลับ จนพลทหารนั้นเสียชีวิต

และสาเหตุของการตายที่แท้ก็ถูกหมกเม็ด และเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จนเมื่อ ทอม ครูซ พระเอกของเรื่องที่ทำหน้าที่ทนายฝั่งเพื่อนทหารที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำให้เพื่อนเสียชีวิต ได้พยายามค้นหาความจริงและหาหลักฐานมาแสดงต่อศาลให้ได้ว่า พลทหารคนนี้ถูก “รหัสแดง”

สุดท้าย นายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่แสดงโดย แจ๊ก นิโคลสัน ก็ถูกจับกุมในข้อหาออกคำสั่งให้มีการใช้ “รหัสแดง” จนเกิดมีผู้เสียชีวิต เป็นการประกาศชัยชนะเหนืออำนาจที่คับแน่นของกองทัพ

หากใครได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คงจำได้ถึงบทบาทการแสดงอันน่าตื่นตะลึงของนิโคลสันได้ดี โดยเฉพาะฉากขึ้นศาลตอนท้ายเรื่อง ที่นิโคลสันแสดงถึงความอหังการในยศตำแหน่งและอำนาจของตนได้อย่างน่าเกรงขามยิ่ง แต่ด้วยความอหังการนี่เองที่ย้อนมาทำลายเขาเสียเอง เมื่อเขาบันดาลโทสะหลังจากโดนครูซพูดจาท้าทายจนหลุดปากออกมาว่า “เขาเองเป็นคนออกคำสั่งให้ใช้รหัสแดง”

มีเสียงชื่นชมต่อ แจ๊ก นิโคลสัน ในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะเขาแสดงทั้งเรื่องไม่ถึง 15 นาที แต่แต่ละฉากที่เขาออกมาเอาคนดูอยู่หมัด โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ว่านี้ จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเรื่องนี้ด้วย

ในหนังเรื่องนี้ปรากฏว่ามี “แพะ” เกิดขึ้นด้วย นั่นก็คือ เพื่อนพลทหารที่ใช้รหัสแดงนั่นเอง

ส่วนในกรณีของน้องเมย ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายจะมีแพะหลุดออกมาหรือไม่ หรือจะสรุปออกมาได้สมเหตุสมผลเพียงใด เพราะในช่วงที่ผ่านมาก็ได้มี “แพะเสมือน” ปรากฏออกมาจากการ “สรุป” “คาดเดา” “นั่งเทียน” กันไปแล้วหลายตัว

ไม่ว่าจะเป็น “แพะสุขภาพของน้องเมย” เอง ที่บอกว่าน้องเมยมีโรคประจำตัว

หรือ “แพะพ่อแม่” ที่บอกว่า พ่อกับแม่บังคับให้น้องเป็นทหาร

ส่วนอีกข่าวหนึ่งคือ “ข่าวครูจอมทรัพย์” ที่เป็นโคตรมหาแพะ ที่ตอนหลังกลายเป็น “แกะ” มาแทรกสายพันธุ์เสียอย่างนั้น

กรณีของครูจอมทรัพย์นี้เรื่องราวเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2548 นั่นคือเมื่อ 12 ปีที่แล้ว จากการขับรถเฉี่ยวชนจนผู้ถูกชนถึงกับความตาย เมื่อมีการแจ้งข้อหาจึงมีการฟ้องร้องต่อสู้คดีกันไปถึง 3 ศาลใช้เวลาถึง 8 ปี สุดท้ายศาลฎีกาก็มีคำพิพากษาให้นางจอมทรัพย์ติดคุก

จากนั้นก็มีการแจ้งว่าครูจอมทรัพย์เป็นแพะ เพราะคนที่ชนจริงๆ เป็นคนอื่น ก็ได้มีการว่าจ้างสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมา ช่วงนั้นผู้คนให้ความเห็นใจครูจอมทรัพย์มาก ที่ถูกจับเข้าคุกผิดตัว ทั้งแสดงความสงสารเห็นใจผ่านสื่อต่างๆ แล้วยังมีการส่งเงินทองเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและต่อสู้คดีอีกด้วย

น้ำใจคนไทยนี่น่ารักเสียจริง เสียดายที่มักถูกคนใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์สุดท้ายในปีนี้ เรื่องก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาพบว่า คนที่ถูกกล่าวหานั้นเป็น “แพะ” ที่ถูกว่าจ้างมา ส่วนครูจอมทรัพย์ก็ถูกโยงว่าเป็น “แกะ” (เด็กเลี้ยงแกะ) ที่สมรู้ร่วมคิดให้มีการจ้างแพะที่ว่า

แต่ครูจอมทรัพย์ให้การปฏิเสธ ในขณะที่ผู้เกี่ยวข้องได้ทำการรับสารภาพกันหมดแล้ว

กรณีครูจอมทรัพย์ได้สั่นสะเทือนกระบวนการยุติธรรมของสังคมไทย โดยพุ่งเป้าไปที่สถาบันตำรวจก่อนเลยว่า เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากน้อยเพียงไร และเหตุไฉนจึงปล่อยให้มี “แพะ” เกิดขึ้นได้ เพราะสำนวนทั้งหลายต้องออกมาจากมือของพนักงานสืบสวนสอบสวน

ต่อมาก็สถาบันศาล ที่ถูกถามเหมือนกันว่า เป็นที่พึ่งสุดท้ายได้จริงหรือไม่

ส่วนในกรณีของ นตท.ภคพงศ์ เป็นการตั้งคำถามกับสถาบันกองทัพไทย จนเกิดดราม่าตามมามากมาย

ผู้คนยังคงเฝ้าติดตามความคืบหน้าของคดีทั้งสองนี้อย่างใจจดใจจ่อ พร้อมกับคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าสุดท้ายจะมี “แพะ” หรือ “ตัวใดๆ” โผล่มาหรือไม่

ในขณะที่สองข่าวที่ว่านี้ยังไม่จบ แต่ก็มีเรื่องใหม่แทรกเข้ามาในความสนใจของประชาชนนั่นคือ การปรับคณะรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ครม.ตู่ 5 นี้ได้ประกาศรายชื่อออกมาในวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ครั้งนี้พลเอกประยุทธ์ ได้นำพลเรือนผู้มีความเชี่ยวชาญในงานหลายๆ ด้าน มาทำหน้าที่แทน รมต.ทหารเจ้าเก่าหลายตำแหน่ง โดยมุ่งเน้นไปที่กระทรวงสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันก็มีการไม่ต่อวีซ่าให้กับคณะรัฐมนตรีถึง 9 คน

เรียกว่าการปรับครั้งนี้เป็นแบบ “พี่ขอ หรือน้องขอ นะจ๊ะ”

เพราะถ้าไม่ขอ รับรองว่าลุงตู่ของเราต้องตกเป็นเป้าการโจมตีของพรรคการเมือง ของนักวิชาการ ของสื่อมวลชน และศัตรูรอบทิศชนิดจัดเต็มแน่ๆ

เป็นการเคลียร์ใจ เคลียร์ความสัมพันธ์กันแบบ “ไพ่ใบสุดท้าย” ก่อนจะจัดให้มีการเลือกตั้งตามแผนโรดแม็ป ที่ไม่รู้ว่าจะเลื่อนไปอีกหรือเปล่า

ไม่รู้ว่าลึกๆ แล้วงานนี้จะมี “แพะ” ด้วยหรือไม่

หรือมีแต่เราไม่รู้ เพราะได้แต่ร้อง แบะๆ ไปเท่านั้น