คอฟฟี่เบรก/ซิญยอร์…ป้าต…แป้ต

คอฟฟี่เบรก/ประภาส อิ่มอารมณ์

ซิญยอร์…ป้าต…แป้ต

คนไทยในโรม ที่ไปเรียนศิลปะมีจำนวนสิบกว่าคนเท่านั้น แถมแต่ละคนนั้นชื่อทั้งแปลกและยาว เพื่อนๆ ชาวอิตาเลียนออกเสียงยากและขี้เกียจจำ พวกเขาจึงตั้งชื่อใหม่เป็นภาษาของพวกเขาให้ เป็นการใช้เฉพาะรู้กันในหมู่กลุ่มเล็กๆ นี้

บางคนฟังแล้ว…เข้าท่า

มโน ก็เป็น มาโน่ (แปลว่ามือ)…เยี่ยม

ปกรณ์ แม้ฟังง่ายๆ ในภาษาไทย แต่อิตาเลียนว่ายังเรียกยาก เอาตัว ป.ปลาตัวเดียว ที่เหลือเขาแต่งให้ฟังเป็นอิตาเลียนขนานแท้ เปาโล่ แจ๋วไปเลย (ถ้าไม่เห็นตัวจริง) ปกรณ์รีบคว้ามันหมับ…กลัวคนอื่นจะแย่งไป

ติ่ง เป็น โตนี่… ต้อม เป็น โตมัดโต้ (ไอ้มะเขือเทศ)

แต่มีอีกคนที่ทับศัพท์ภาษาอังกฤษตรงๆ ตัว ไม่เห็นจะยากเย็น แต่มีปัญหาในเรื่องการออกเสียงในภาษาอิตาเลียน

PAT แพท ตัว P ในภาษาของเขาออกเสียงว่า ปี แทน พี A ออกเสียงว่า อา T ออกเสียง ตี แทน ที

ดังนั้น ชื่อแพท แบบสำเนียงภาษาอังกฤษ จึงเป็นป้าต ไปเสียฉิบ เรียกเอาเจ้าตัวและเพื่อนๆ คนไทยพอได้ยินคนอิตาเลียนเรียกเขา… มีฮากันทุกครั้ง เล่นเอาแพท…เขิน

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเอาไปใช้นอกกลุ่มกับคนอิตาเลียนอื่นๆ ก็ทำให้สะดวกในการใช้สรรพนามแบบนั้นไปจนเคยชิน ยกเว้นชื่อ…ของแพท ที่ออกเสียงเป็นอิตาเลียน ที่เขาทำใจยอมรับได้ลำบาก

แพท…จึงยังมีปัญหาคาใจเรื่องชื่อของเขาอยู่ เพราะแม้พยายามหลีกเลี่ยงการบอกชื่อตนเอง เป็นการเขียนภาษาอังกฤษแทน คนอิตาเลียนก็อ่านออกเสียงป้าตเหมือนกันทุกคน หรือจะเลี่ยงออกเสียงให้พวกอิตาเลียนฟังและดูปากว่า กูชื่อแพท พวกเขาก็ออกเสียงเลียนแบบ แต่เป็นยังคงเป็นแป้ต อย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้

แพทจึงยอมแพ้ และจำใจปล่อยให้มันเป็นไปตามบุญตามกรรม

ในหมู่คนไทยด้วยกัน แพทเป็นผู้อาวุโสทั้งอายุและมีพรรษาในการเรียนที่ศิลปากรมากที่สุด เพราะเขาเรียนถึง 8 ปี โดยซ้ำชั้นปี 5 เสียจดหมดโควต้าซ้ำชั้น 3 ปี จึงถูกเชิญออก ซึ่งสถิตินี้ยังไม่มีคนทำลาย

ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นตัวตลก เขาจึงบอกทุกคนว่า “ถ้าใครเรียกชื่อกู แล้วออกเสียงแบบคนอิตาเลียน ถือว่าไม่นับถือกันต่อไป และกูจะมีมาตรการ การลงโทษ… แต่ยังไม่บอกตอนนี้ว่าเป็นยังไง”

และเพื่อตอกย้ำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์… น่าเกรงขาม แพทจึงเล่าเรื่องเป็นแซมเปิลให้ฟัง…

“มีกำนันคนหนึ่งซึ่งมีอดีตเป็นเสือปล้นฆ่า จนเป็นที่เกรงขามและรู้กิตติศัพท์ว่าเขาเป็นคนพูดคำไหนแล้วต้องเป็นคำนั้นตลอด…

อยู่มาวันหนึ่ง กำนันวาจาสิทธิ์ ป่าวประกาศให้ชาวบ้านที่เขาปกครองอยู่มาร่วมงานวันเกิด โดยมีข้อแม้ว่า… ห้ามใครเอาอะไรมาช่วยงานเด็ดขาด ถ้าฝ่าฝืน… คนที่เอาอะไรมา…จะต้องถูกเอาสิ่งนั้นยัด…ตูด!

ถือเป็นกติกาและทุกคนรู้กันดี

งานเลี้ยงวันนั้นจึงจัดอย่างใหญ่โต และกำลังอยู่ในบรรยากาศที่ชื่นมื่น…

แต่…แล้วก็ตกต้องอยู่ในความเงียบ เมื่อปรากฏร่างกระทาชายนายหนึ่งที่เพิ่งมาร่วมงาน และเขาแบกกล้วยหอมมาเครืองามใหญ่ ที่มีหวีกล้วยกำลังอวบอิ่มน่ารับประทาน เพื่อมาช่วยงานกำนันที่เขาเคารพรัก…

เล่นเอากำนันคนดังถึงกับต้องเกาหัวด้วยความลำบากใจ ในสิ่งที่เขาจำเป็นต้องลงโทษลูกบ้านผู้มีจิตเคารพและหวังดีต่อเขา…

แต่เมื่อได้ออกปากประกาศเป็นวาจาสิทธิ์ที่ทุกคนรับรู้กันไปแล้ว เขาจึงต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของมันเอาไว้…

พอถูกกล้วยหอมลูกงามที่ยัดเข้าตูดเป็นลูกแรก ลูกบ้านคนนั้นก็แหกปากร้องด้วยความเจ็บปวด และตามต่อด้วยใบต่อๆ มา…เสียงร้องของลูกบ้าน…ค่อยๆ กลายเป็นเสียงหัวเราะหึๆ…และจนกลายเป็นเสียงหัวเราะ…ดังลั่นด้วยความขบขัน

ยังความประหลาดใจให้กับกำนัน…เขาจึงสั่งให้หยุดการลงโทษ และถามด้วยความสงสัยว่า

“เกิดอะไรขึ้น หรือไปโดนจุดจั๊กกะจี้ของเอ็งเข้า…”

“ไม่ใช่! เจ็บนะเจ็บอยู่พ่อกำนัน แต่ที่ขำนี่นะ เพราะนึกถึงเพื่อนข้างบ้านผม ซึ่งมันกำลังมา…และต้องช้าหน่อย เพราะมันขนของมาช่วยเต็มเกวียนเชียวละ!”

“มันขนอะไรมาวะ”

“ทุเรียนจ้ะ! พ่อกำนัน…ลูกเขื่องๆ ทั้งนั้น…ฮ้า…ฮา…ฮะ…ฮะ…ขำเว้ย”

เพื่อนๆ แพทหัวร่อฮากันยกใหญ่เมื่อฟังเรื่องที่เขาเล่าจบลง

แต่…แพทตีสีหน้าเฉยเมย ก่อนก้าวออกจากตรงนั้นเพื่อไปห้องน้ำ และทิ้งให้น้องๆ คนไทยที่เหลืออยู่ ตีปริศนาที่เขาทิ้งไว้ให้หาคำเฉลยกันเองต่อไป…

ระหว่างที่กำลังเดา หาบทลงโทษของแพทกัน ส่งเสียงชุลมุนวุ่นวายอย่างชนิดที่ไม่มีใครฟังใคร ก็ปรากฏร่างของคนไทยอีกคนหนึ่ง ซึ่งเพิ่งเข้ามาใหม่และสมทบฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจเพื่อหาต้นสายปลายเหตุ มโนเหลือบมาเห็นเขาเป็นคนแรก จึงยกมือไหว้แล้วร้องทัก

“สวัสดีครับพี่ปู”

ปูเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกับแพท เมื่อจบแค่ปีที่ 3 หรืออนุปริญญา เขาก็ไปสมัครเป็นข้าราชการที่กระทรวงกระทรวงหนึ่ง และขอทุนมาดูงานเป็นเวลาปีครึ่งที่ฟลอเรนซ์ ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้วันหยุดหลายวันเขาจะลงมาที่โรมและพักกับพวกคนไทยที่บ้านชานเมืองเป็นประจำ

“เถียงเรื่องอะไรกันอยู่ และดูท่าจะจบไม่ได้ง่ายเสียด้วย” ปูถามไปด้วยความสงสัย

“ก็…พี่แพทแกให้ไอ้พวกอิตาเลียนตั้งชื่อเป็นภาษามันให้ แต่มันออกเสียงพิกลๆ แกไม่ชอบ แล้วสั่งไม่ให้พวกเราอย่าเรียกชื่อแกตามพวกอิตาเลียนเป็นอันขาด ถ้าใครไม่เชื่อ แกจะลงโทษ และพวกเราก็เดาไม่ออกว่าแกจะทำยังไง เพราะตัวอย่างของบทลงโทษที่แกเล่าให้ฟังมานั้น มันสุดโหดและสยองขวัญเอามากๆ…”

แล้วมโนก็เล่าการลงโทษที่แพทเอามาฉายเป็นหนังตัวอย่าง…ให้พี่ปูฟัง

“แล้วมันหายไปไหน…”

พอปูพูดจบ แพทเสร็จธุระที่ห้องน้ำก็เดินกลับมาพอดี ทั้งคู่ทักทายกันด้วยความยินดี

“เห็นน้องๆ บอกว่าลื้อกำลังไม่สบายกับชื่อที่ไอ้เลี่ยนมันตั้งให้”

“เออ! ว่ะ”

“มันตั้งว่ายังไง”

“ป้าต…บ้าง แป้ต…บ้าง เสียงแม่งยังกับใครผายลม! อั๊วไม่ชอบเลย”

น้องๆ ที่นั่งฟังการสนทนาของทั้งคู่ ต่างถือโอกาสส่งเสียงฮาครืน และไม่กลัวการลงโทษเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นคนพูดเอง

“แป้ต…เอ้ย! ไม่ใช่ แพท ลื้อนับว่าโชคดีกว่าอั๊วเยอะ ของอั๊ว…แม่งเรียกทีสะดุ้งเลย มันใช่คลุมเครือแบบผายลมที่ลื้อว่า แต่มันเป็นเสียงตดดีๆ นี่เอง”

“มันเรียกลื้อว่ายังไง…” แพทเริ่มสนใจ

“ชื่ออั๊ว ปู…แม่งเรียกว่า ปู๋ ทำเสียงยานคางเสียด้วย…เห็นไหม? เสียงตดดีๆ นี่เอง”

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจึงไม่ต้องรักษามารยาทกันอีกต่อไป…ส่งเสียงฮากันตรึมเลย รวมทั้งคนเล่าด้วย…

“โล่งอกไปที! อั๊วไม่ติดใจเรื่องชื่อภาษาอิตาเลียนอีกต่อไปแล้ว เพราะมีคนมันมาแรงแซงโค้งไปแล้ว เอ้าเว้ย! ใครอยากสั่งอะไรมาดื่ม เต็มที่เลย…แป้ต…เป็นเจ้ามือเอง”

(ฮา)