ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 มิถุนายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | เหยี่ยวถลาลม |
เผยแพร่ |
ราว 30 ปีก่อน พล.ต.ท.วรรณรัตน์ คชรักษ์ ตำรวจที่ไม่ค่อยเอาใจนาย แต่เอาใจใส่ประชาชน เคยขึ้นป้ายตัวโตๆ ในทันทีที่ย้ายไปนั่งเก้าอี้ “ผู้บังคับการกองปราบปราม” ด้วยข้อความว่า
“ไม่มีหายนะใด ยิ่งใหญ่กว่า ความไม่รู้จักพอ
ไม่มีภัยพิบัติใด ยิ่งใหญ่กว่า ความโลภ
ดังนั้น สำหรับผู้ที่รู้จักพอ
ความพอนั้น จะทำให้มีพอไปตลอดชีวิต”
เส้นแบ่งระหว่าง “ตำรวจ” กับ “ผู้ร้าย” ต้องชัดเจนแน่นอน เส้นทางเดินของทั้งสองไม่ควรจะบรรจบกัน
ไม่น้อยกว่า 2 ทศวรรษมาแล้วที่ “เส้นแบ่ง” นั้นเลอะเลือนจนในบางคราวถึงขั้น “จางหายไป” ชวนให้สับสนในพฤติการณ์
ดูจากรายงานเหตุการณ์อุกฉกรรจ์ และสะเทือนขวัญ และเหตุที่ต้องรายงานด่วน ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2566 เลขที่ 0016.5(15)/3424 นั่นปะไร
เรียน ผบ.ตร., รอง ผบ.ตร. (ปป), รอง ผบ.ตร. (สส) ผู้ช่วย ผบ.ตร. (สส3) ผ่าน ศทก.สทส., ผบช.ภ.1, รอง ผช.ภ.1, ผบก.อก.ภ.1 (ผ่าน ศปก.ภ.1), ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี, ผบก.ภ.ปทุมธานี, รอง ผบก.ภ.ปทุมธานี และนายอำเภอลำลูกกา
จาก พ.ต.อ.วงกต สุวรรณวัตน์ ผกก.สภ.คูคต ปทุมธานี
สะท้านสะเทือนวงการตำรวจ!
ในหัวข้อที่ 6 ของรายงานเหตุ รายชื่อของ “ผู้เสียหาย” คำนำหน้ามีแต่ “นาย” ซึ่งเป็นพลเรือนรวม 6 คน
ส่วนในหัวข้อที่ 8 ซึ่งเขียนว่ารายชื่อ “คนร้ายหรือผู้ต้องหา” นั้น เริ่มต้นด้วยยศ “พลตำรวจตรี”, พันตำรวจเอก, พันตำรวจโท, พันตำรวจตรี ไปจนถึงร้อยตำรวจเอก
ในจำนวนผู้ต้องหา 10 คน เป็นตำรวจ 8 มีพลเรือนอยู่แค่ 2
โลกไม่ได้เล่นตลก คนต่างหากที่ทะลึ่งทำสับสนในบทบาทและพฤติกรรม
ในหัวข้อรายชื่อ “คนร้าย” จึงได้กลับกลายเป็น “นายตำรวจ”
รายงานเหตุการณ์อุกฉกรรจ์ และสะเทือนขวัญ และเหตุที่ต้องรายงานด่วน จาก “ผกก.สภ.คูคต” กลับตาลปัตร!
แต่ก่อนนี้ในเอกสารแถลงผลงานของเจ้าพนักงานตำรวจ ชื่อบุคคลจะถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรก เป็นรายชื่อตำรวจไล่เรียงกันไปตั้งแต่ยศ “นายพล” นายพันนายร้อยถึงชั้นประทวน เป็นผู้ร่วมสืบสวนจับกุมผู้ต้องหา
กลุ่มที่สอง จึงเป็นรายชื่อของ “ผู้ต้องหา”ที่ถูกจับกุมพร้อมคำบรรยายพฤติการณ์ที่กระทำความผิดและข้อกล่าวหา
วันนี้ไม่เหมือนเดิม
พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี มีชื่ออยู่ในหัวข้อ “คนร้ายหรือผู้ต้องหา” ลำดับที่ 1 ซึ่งร่วมกับพวกในคดีทุจริตเรียกรับสินบนประมาณ 140 ล้านบาท และกักขังหน่วงเหนี่ยว
มีหลายคำพูดจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ที่เข้าคุมคดี บอกนัยยะ เช่น
“คดีนี้สืบสวนแล้วมีมูลความจริง…” หรือ
“ที่ผ่านมาพวกธุรกิจสีเทาไม่ฉาวเพราะสองฝ่ายตกลงกันได้ แต่ครั้งนี้ผู้เสียหายตัดสินใจแจ้งความเพราะถูกเรียกเงินเยอะจนรับไม่ไหว ถูกรีดไถอย่างหนักหนาสาหัส”
กลายเป็นวาระ “ตำรวจจับตำรวจ”
พ.ต.อ.วงกต ผกก.สภ.คูคต (นรต.รุ่น56) กับพวกจับ พล.ต.ต.กัมพล ผบก.ชลบุรี (นรต.45) กับพวก
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งคุมคดีนี้ก็ นรต.รุ่น 47 “บิ๊กโจ๊ก” ยืนยันอย่างมั่นเหมาะว่า ยังมี “อีกดอก” นั่นคือ จะต้องบังคับใช้ “กฎหมายอุ้มหาย” หรือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ด้วย เนื่องจากปรากฏในกล้องวงจรปิดว่า การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจชุด พล.ต.ต.กัมพลไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ที่ต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังต้องแจ้งพนักงานอัยการและฝ่ายปกครองท้องที่ที่ควบคุมตัวให้รับทราบตั้งแต่แรก
คลิปภาพถูกเผยแพร่ไปทั่ว ตำรวจนำตัว “เป้” ที่ถูกจับคดีพนันออนไลน์ขึ้นไปบนชั้น 2 ของอาคารที่ทำการของ “กองบังคับการตำรวจภูธรชลบุรี” ในยามวิกาล
นั่นไม่ใช่ที่ทำการ “พนักงานสอบสวน”
สอดรับกับคำร้องทุกข์ของเป้ที่ว่า “เป้รักผู้การเท่าไหร่ เป้เขียนมา”
ไม่น้อยกว่า 2 ทศวรรษที่องค์กรตำรวจอยู่ในมุมมืด การซื้อขายตำแหน่งจากการแต่งตั้งโยกย้ายในวงการตำรวจเป็นที่รู้ แต่ไม่มีการแก้ไข ตำรวจอาชีพยากที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้กำกับการ หัวหน้าสถานี หัวหน้าหน่วย หัวหน้าด่าน ผู้บังคับการ ผู้บัญชาการ
บ่อยครั้งที่ “หัวหน้าหน่วย” ผูกโยงแนบแน่นอยู่กับธุรกิจสีเทาและสีดำ
ไม่มีและไม่รู้จักคำว่า “เส้นแบ่ง” เขตแดนระหว่างตำรวจกับคนร้าย
ในทัศนะของตำรวจชั้นผู้น้อยทุกวันนี้ “นาย” จึงไม่ใช่ “ผู้นำหน่วย” ที่มีความรู้ ความสามารถ มีบารมี มีความน่าเชื่อถือ น่ารับฟัง หากแต่เป็นนายที่เหาะเหินเดินอากาศมาแล้วก็เอาแต่พูดไล่ล่าหาผลประโยชน์ ใช้ลูกน้องเป็นเครื่องมือ ทำนาบนหลังคน
ความสัมพันธ์ระหว่าง “ผู้บังคับบัญชา” กับ “ผู้ใต้บังคับบัญชา” จึงไม่เหมือนเดิม
ดังจะเห็นจากตัวอย่างก่อนหน้านี้ที่มีการย้าย พ.ต.อ.มงคล อ่อนแก้ว “ผกก.สภ.บางแก้ว” สมุทรปราการ ไป “ประจำ ศปก.ภ.สมุทรปราการ” ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า ผบช.ภ.1 เคยให้ “ใบแดง” พ.ต.อ.มงคล แต่ก็ทำเรื่องฉาวอีกเมื่อสั่งอายัดบัญชีม้าที่พัวพันพนันออนไลน์ 900 บัญชีแล้วนำเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาในโรงพักสิ้นศรัทธา จาก “ใบแดง” ของ ผบช.ภ.1 จึงกลายเป็น “เรื่องแดง”
“ลูกน้อง” ตัดสินใจไม่ไว้หน้า ร้องพฤติกรรม “นาย”
พ.ต.อ.มงคล อ่อนแก้ว อดีต ผกก.บางแก้ว กลายเป็นอีก 1 “นรต.” ที่ร่วง
แม้จะเน้น “นรต.” แต่ยืนยันได้ว่าสถาบันการศึกษาหรือหลักสูตรที่ฝึกอบรมตำรวจทุกชั้นทุกประเภทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวพันอันใดกับ “พฤติกรรม” ด้านมืดของมนุษย์
ทุกหลักสูตรของตำรวจถูกออกแบบมาเพื่อ “สร้างคน” ให้เป็นไปตามที่องค์กรมีจุดมุ่งหมายรับใช้ประชาชน
แต่หลายปีมานี้ “องค์กรตำรวจ” เลอะเลือนและตกต่ำอย่างหนัก
ความเป็น “ผู้บังคับบัญชา” ของตำรวจถูกดูแคลน ความเลวที่เคยซ่อนตัวอยู่ด้วยความเขินอาย บัดนี้ “นาย” กล้าที่จะเปิดหน้าเผยโฉมออกมาโดยไม่มีทั้ง “หิริ” และ “โอตตัปปะ”
ในบางยุคเครือข่ายธุรกิจสีเทาถึงขั้นมีอิทธิพลเหนือการแต่งตั้งโยกย้ายผู้นำหน่วยในระดับ “สำคัญ” จนถึง “สำคัญที่สุด” นานวันก็ค่อยๆ ก่อรูปเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ผิดๆ สวนทางกับ “อุดมคติตำรวจ”
“ผู้นำ” ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทุกคนได้แต่ประคอง “เก้าอี้ตัวเอง” เอาไว้ให้นานที่สุด!?!!!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022