เสฐียรพงษ์ วรรณปก : บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์ – พระพุทธองค์ไม่ต่อพระชนมายุ

บางแง่มุมเกี่ยวกับพระพุทธองค์ (17) พระพุทธองค์ไม่ต่อพระชนมายุ

ในแวดวงพระพุทธศาสนา มีพิธีกรรมบางอย่างเกี่ยวกับความตายและการชะลอความตาย ที่ถือปฏิบัติสืบมาเป็นประเพณี พิธีกรรมอย่างแรกเป็นที่รู้จักกันทั่วไป

แต่อย่างหลัง (การต่ออายุ) เด็กๆ สมัยนี้อาจไม่เคยเห็น โบราณท่านทำกันนะครับ

จำได้ว่าสมัยผมเป็นเด็ก ตาผมป่วยหนัก ญาติๆ ไปนิมนต์พระมา ต่ออายุให้คุณตา (พี่สาวผมบอกอย่างนั้น) พระท่านก็มาสวดอะไรบ้าง ตอนนั้นยังเด็กอยู่ ไม่รู้เรื่อง มาทราบภายหลังว่าท่านมาสวด โพชฌงคปริตร แล้วก็จบพิธีด้วยการสวด บังสุกุลเป็น

มีประวัติความเป็นมาว่า สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ทรงทราบว่า พระโมคคัลลานะอาพาธหนัก จึงเสด็จไปทรงแสดงโพชฌงค์ให้ท่านฟัง ท่านหายอาพาธ

อีกคราวหนึ่งพระมหากัสสปะอาพาธหนัก ก็เสด็จไปทรงแสดงโพชฌงค์ให้ฟัง ท่านมหากัสสปะก็หายอาพาธ

ต่อมาถึงคราวพระพุทธองค์ทรงประชวรหนักบ้าง ทรงรับสั่งให้พระจุนทะสวดโพชฌงค์ให้ฟัง พระพุทธองค์ก็ทรงหายประชวรเช่นเดียวกัน

เพราะเรื่องราวดังนี้และมีความมั่นเช่นนี้ จึงเกิดประเพณี ต่ออายุ ขึ้นในหมู่ชาวพุทธ ถ้าใครป่วยหนักทำท่าจะไปมิไปแหล่ ญาติพี่น้องก็จะนิมนต์พระไปสวดโพชฌงคปริตรให้ฟัง เป็นการยืดอายุออกไปอีก

โพชฌงคปริตร ว่าด้วยโพชฌงค์ (ธรรมะที่เป็นองค์ประกอบแห่งการตรัสรู้, ธรรมะที่ทำให้ตรัสรู้) 7 ประการคือ สติ ธัมมวิจยะ (การวิจัยธรรม) วิริยะ (ความเพียร) ปีติ (ความปลื้มใจ) ปัสสัทธิ (ความสงบกาย) สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น) อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง)

ถามว่าทำไมพระพุทธองค์และพระสาวก เมื่อฟังสวดโพชฌงค์จึงหายประชวรและหายไข้ ตอบได้ว่า มิใช่เพราะความขลังของบทสวด หากเป็นเพราะฟังเข้าใจและพิจารณาไปตามธรรมที่สวดให้ฟังนั้น เริ่มตั้งแต่การตั้งสติ ระลึกรู้เท่าทันปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งมีอุเบกขา วางเฉย วางใจเป็นกลาง อย่างรู้เท่าทัน อาการที่เกิดขึ้นและเป็นไป จิตมีอิสระไม่ถูกทุกขเวทนาครอบงำ

ด้วยวิธีการเช่นนี้อาพาธที่มีอยู่ ทุกขเวทนาที่ประสบอยู่ก็ทุเลา จนหายไปได้ เมื่อกายเจ็บ แต่ใจไม่เจ็บด้วย มันจะทนเจ็บไปได้สักกี่น้ำ

ดุจเดียวกับนักมวยสวมนวมขึ้นชกบนเวที เต้นเหยงๆ รอคู่ต่อสู้ขึ้นมาชก คู่ต่อสู้ไม่ขึ้นมาชกด้วย ในที่สุดก็ต้องลงเวทีไป คงไม่มีนักมวยคนไหนที่ชกลมวืดวาดๆ เป็นชั่วโมงบนเวทีนั้นดอกครับ

ในพุทธประวัติมีเหตุการณ์ตอนหนึ่งว่า พระพุทธองค์ทรง ปลงอายุสังขาร (กำหนดพระทัยจะปรินิพพาน) ทันทีที่ทรงปลงอายุสังขาร แผ่นดินก็ไหว จนกระทั่งพระอานนท์ประหลาดใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงเข้าเฝ้าทูลถาม (1) ไหวเพราะลม (2) ไหวเพราะผู้มีฤทธิ์บันดาล (3) ไหวเพราะพระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิ (4) ไหวเพราะพระโพธิสัตว์ประสูติ (5) ไหวเพราะพระโพธิสัตว์ตรัสรู้ (6) ไหวเพราะพระพุทธเจ้าหมุนกงล้อคือพระธรรม (แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) (7) ไหวเพราะพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร (8) ไหวเพราะพระพุทธเจ้าปรินิพพาน

พระอานนท์รู้ทันทีว่า พระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารแล้ว จึงกราบทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงยืดพระชนมายุไปอีกสักระยะหนึ่งพูดง่ายๆ ว่า ขอให้ทรง ต่ออายุ

พระพุทธองค์ตรัสว่า สายเสียแล้ว เราตถาคตเคยทำ นิมิตโอภาส (บอกใบ้) ให้เธอขอตั้งหลายครั้ง (16 ครั้งแน่ะครับ) เธอก็ไม่เห็นขอ ตอนนี้เราตถาคตรับคำเชิญของมารแล้ว จะปรินิพพานในอีกสามเดือนข้างหน้า เรื่องราวดังที่ทราบกันดีแล้วนะครับ

ถ้ายังไม่ทราบ อะแฮ้ม ให้ไปหาหนังสือ วาระสุดท้ายของพระพุทธองค์ ของสำนักพิมพ์มติชน (เจ้าเก่า) มาอ่านเทอญ

ที่จะยกมาพูดกันในวันนี้ก็คือ ถ้าพระพุทธองค์จะทรงต่อพระชมมายุออกไปอีก จะต่อได้จริงหรือ ต่อได้ด้วยวิธีใด การฟังสวดโพชฌงค์ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เพียงทำให้หายอาพาธชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่ถ้าจะต่อออกไปยาวๆ เป็นสิบๆ ปีนั้น จะทำได้โดยวิธีใด

มีพุทธวจนะตรัสกับพระอานนท์ดังนี้ครับ

“ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดเจริญอิทธิบาท 4 แล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดุจยาน กระทำให้เป็นดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว อบรมดีแล้ว ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นเมื่อจำนงอยู่ จะพึงดำรงอยู่ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป เราตถาคตก็เจริญอิทธิบาทแล้ว…ถ้าตถาคตปรารถนาจะดำรงอยู่ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัปก็ย่อมทำได้”

ความหมายก็คือ ใครที่บำเพ็ญอิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ได้เต็มที่บริบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์พันเปอร์เซ็นต์แล้ว ถ้าต้องการจะต่ออายุออกไปอีก หนึ่งกัป หรือ เกินกว่าหนึ่งกัป ก็ย่อมทำได้ ไม่เฉพาะแต่พระพุทธองค์ คนอื่นก็ทำได้

คำว่า กัป ในที่นี้เป็นศัพท์เฉพาะที่ใช้ในกรณีนี้เท่านั้น หมายถึงระยะเวลาประมาณ 10 ปี เกินกว่าหนึ่งกัป ก็คือเกินไปอีก 10 ปี (รวมเป็น 20 ปี)

ในกรณีของพระพุทธองค์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 80 พรรษา ถ้าพระองค์ทรงต่ออายุออกไปอีก 10 หรือ 20 ปี ก็จะเป็น 90 พรรษา หรือ 100 พรรษา อันเป็นอายุขัยของมนุษย์ทั้งหลายพอดิบพอดี

หรือในอีกความหมายหนึ่ง กัป หมายถึง อายุกัป หรือ อายุขัยของมนุษย์ อายุขัยของมนุษย์ในยุคนี้คือ 100 ปี ถ้าผู้เจริญอิทธิบาทเต็มที่แล้วปรารถนาจะมีอายุกัปหนึ่ง (คือมีอายุ 100 ปี) ก็ย่อมได้ หรือปรารถนาจะมีอายุเกินกว่ากัปหนึ่ง (คือเกินหนึ่งร้อย เป็น 120 ปี) ก็ย่อมกระทำได้

พระพุทธองค์ทรงยืนยันว่า อิทธิบาทที่เจริญเต็มที่แล้วสามารถยืดอายุคนให้มีอายุถึง 100 หรือ 120 ปีได้ แต่ไม่ทรงอธิบายไว้ว่ายืดได้อย่างไร หาคำอธิบายจากเกจิอาจารย์ (หมายถึงอาจารย์สอนพระศาสนาผู้เป็น ออธอริตี้นะครับ ไม่ใช่อาจารย์ขลังแจกเหรียญแจกพระ) ก็ยังหาไม่ได้ จึงขอเดาตามประสาคนรู้น้อยไปก่อน ได้ทราบว่าพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เคยแสดงธรรมแก่ผู้เกษียณอายุราชการ ท่านว่า อิทธิบาทสี่ทำให้อายุยืนได้ อ้างพุทธดำรัสและพุทธประวัติตอนนี้ด้วย ผมยังหาหนังสือไม่พบ

ไว้คราวหน้าจะนำมาสรุปให้ฟังครับ

อิทธิบาท 4 คือ ความรัก ความเพียร ความเอาใจใส่จดจ่อและการทำงานด้วยปัญญา ถ้าใช้กับงานที่ทำก็คือ รักงาน สู้งาน ทำงานให้ดีให้สำเร็จ เอาใจจดจ่อในงานที่ทำค้างอยู่ แบบกัดไม่ปล่อย ไม่เสร็จไม่ยอม และคิดหาวิธีการแก้ไขข้อบกพร่อง เติมเสริมต่อให้สมบูรณ์

เขาว่าความรัก ความพยายามเป็นต้นนี้ มันเป็นพลังขับเคลื่อนให้ยืดอายุได้ เช่น กำหนดจะสิ้นอายุในปีนี้ แต่ไม่ยักตายแฮะ เพราะอะไรหรือครับ คนที่มีความรักงาน ใฝ่งานอย่างมาก กระแสความรักความปรารถนามันจะแรงมาก แรงมากถึงขนาดว่า ฉันยังตายไม่ได้ ถ้างานนี้ไม่สำเร็จ จิตใจก็จะสั่งไปยังร่างกาย (ซึ่งกำลังอ่อนแอเต็มที) ทันทีว่า เฮ้ย เอ็งยังดับไม่ได้นะเว้ยจนกว่างานนี้จะสำเร็จ ต้องอยู่ไปก่อน

แล้วมันก็อยู่ได้จริงๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแหละครับ

ไม่ต้องดูไกล เอาแค่นักมวยคนหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็น วินนี่ ปาเซียนซ่า (คนที่เดินเข้าออกระหว่างคุกกับเวทีมวยน่ะครับ) ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำคอหัก ไม่ตาย หมอต่อคอให้ เข้าเฝือกไว้ หมอบอกว่า ชกมวยไม่ได้อีกแล้ว ให้ปลงซะ

ปาเซียนซ่า บอกว่า ผมต้องชกได้ ผมมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าผมต้องหายและต้องชกมวยอีกได้ แกไม่ยอมแพ้ มีความรัก (ฉันทะ) มีความพากเพียร บากบั่นเพื่อคืนสู่สังเวียนให้ได้ พยายามซ้อมมวยเบาๆ ก่อน จิตใจสั่งตัวเองตลอดเวลาว่า มึงต้องหาย มึงต้องชกมวยได้ ถ้าพูดแบบนักธรรมะก็คือ แกมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เกี่ยวกับการชกมวย ว่าอย่างนั้นเถอะ

แล้วในที่สุดปาเซียนซ่าก็หาย และคืนสู่สังเวียน เป็นนักชกอันตราย

อย่าถามว่า เขียนคอลัมน์ธรรมะธัมโม ก็รู้เรื่องหมัดมวยด้วยหรือ

ผมก็ขอบอกว่า ที่รู้เรื่องอื่นนอกจากธรรมะธัมโมก็เพราะ เด็กเล่าให้ฟัง เช่นเดียวกัน (ฮา)