ม็อบชนม็อบ 2566 ตั้งเค้า สงครามในเมือง 2 ขั้วอุดมการณ์ ความอับจน ‘ปีกอนุรักษ์ฯพรรคทหาร’

ม็อบชนม็อบ 2566 ตั้งเค้า สงครามในเมือง 2 ขั้วอุดมการณ์ ความอับจน ‘ปีกอนุรักษ์ฯพรรคทหาร’ นาฬิกาไม่เดินถอยหลัง!

 

ความพ่ายแพ้ของพรรคทหารจำแลง 2 พรรคคือ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ อย่างยับเยิน ทำให้ปีกอนุรักษนิยมไปต่อไม่ถูก กลายเป็นความชะงักงัน และความเงียบ

ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้แต่ซุ่มซ่อน เฝ้ามองรัฐบาลประชาชน 312 เสียง จัดตั้งรัฐบาล โดยมีความหวังเล็กๆ ว่า ถ้า รัฐบาลประชาชนไปไม่ถึงดวงดาว โอกาสจะกลับมาเป็นของรัฐบาลเสียงข้างน้อย

เลือกตั้งปี 2566 คือ ความอับจนของปีกอนุรักษนิยมและพรรคทหารอย่างชัดเจนที่สุด จากการเลือกตั้งปี 2562 พรรคทหารเป็นเอกภาพ ในนามพรรคพลังประชารัฐ กวาดต้อน ส.ส.เข้ามาได้ถึง 116 ที่นั่ง แต่ในการเลือกตั้งปี 2566 พรรคทหารจำแลง แตกเป็น 2 พรรค คือ พรรคลุงตู่ และพรรคลุงป้อม ได้ที่นั่งแค่ 66 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่ง ขณะพรรคปีกเสรีประชาธิปไตย 8 พรรค กวาดที่นั่งได้ถึง 312 ที่นั่ง

บทสรุปของความพ่ายแพ้ของพรรคทหารจำแลง ถูกวิเคราะห์ออกมามากมาย เช่น การสิ้นสุดและปิดฉากอย่างสมบูรณ์แบบของทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยของ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ จาก 3 ทศวรรษที่แล้ว ที่เชื่อว่า คนชนบทเป็นผู้ “ตั้ง” รัฐบาล เพราะเป็น “ฐานเสียง” ส่วนใหญ่ของพรรคการเมือง ขณะที่คนชั้นกลางเมืองเป็นผู้ “ล้ม” รัฐบาล บัดนี้ สภาพชนบทกับในเมือง แทบไม่แตกต่างกันอีกต่อไป

คนในเมืองคิดและดูอะไร คนในชนบทก็คิดและดูสิ่งนั้น ในโลกโซเชียลใบเดียวกัน

 

บทวิเคราะห์บางสำนักเชื่อว่า เป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของรัฐบาลทหารจำแลง ที่ครองอำนาจมา 9 ปี ยาวนานแต่ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศอย่างสิ้นเชิง จนทำให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่าย และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง กลายเป็นสำนึกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นับจากการปักธงที่สามย่านมิตรทาวน์ สู่หัวเมืองใหญ่รอบกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ทุกหัวเมืองแตก เมื่อโหวตเตอร์ 14 ล้านเสียง เชื่อว่า ได้เวลารัฐบาลพรรคก้าวไกล และได้เวลา พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ คนที่ 30

ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวในวงเสวนา “เกิดมาเป็นนายกฯ” (14 มิถุนายน 2566) ตอนหนึ่งว่า กลุ่มประชากรที่สนับสนุนระบบพรรคทหาร เหลืออยู่ประมาณ 13-15 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ในขณะที่กลุ่มประชากรที่สนับสนุนพรรคการเมืองแนวเสรีประชาธิปไตยมีมากถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ เพราะความที่พรรคทหารจำแลงอยู่มานาน แต่ไร้ประสิทธิภาพ จนทำให้คนเบื่อ อยากเปลี่ยน ส่วนว่า ความนิยมในทหารจะต่ำกว่าหลังปี 2535 หรือไม่ ยังไม่สามารถสรุปได้

แม้พรรคทหารจำแลงจะพ่ายแพ้ยับเยิน แต่สงครามการเมืองเพื่อบ่อนเซาะทำลายการจัดตั้งรัฐบาลประชาชน 8 พรรค 312 เสียง ก็เปิดเกมรุกทุกแนวรบ

ไม่ว่าจะเป็นเกมเตะสกัดพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ด้วยปมหุ้นสื่อไอทีวี รวมถึงการปั่นกระแสของเนติบริกร แบบรายวัน เพื่อบั่นทอนความชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาลประชาชนและว่าที่นายกฯ พิธา

และที่สำคัญคือ พลังของ 250 ส.ว. ที่ส่วนใหญ่ยังยืนยันหนุนสองผู้นำจากพรรคทหาร อย่างไม่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ ใช้เกมใต้ดิน เพื่อเขย่าและทำลายพรรคการเมืองปีกเสรีประชาธิปไตย โดยใช้ประเด็นแก้ไขมาตรา 112

และล่าสุดคือ การโยนข้อหาฉกรรจ์แบ่งแยกดินแดน ทั้งในรูปแบบเฟกนิวส์ และไอโอของปีกขวาจัดที่ปั่นกระแสอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายป้ายสีและทำลายล้าง

 

จุดเคลื่อนไหวของปีกอนุรักษนิยมขวาจัดที่น่าจับตาคือ การกลับมาสร้างกระแสของผู้นำความคิดที่โดดเด่นอย่าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เคยก่อม็อบเสื้อเหลือง ขับไล่ทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว ครั้งนี้เขากลับมาใหม่ โดยการพุ่งเป้าโจมตีพรรคก้าวไกลอย่างหนัก

สนธิโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า “ผมจะเตือนพวกคุณที่ประกาศต้องการสร้างรัฐสวัสดิการซึ่งไม่ผิด แต่ผิดที่แนวคิดพรรคก้าวไกลเริ่มต้นทุบทำลายสถาบันหลักของชาติ คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ และทำลายประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณีอันดี ไอ้อีพรรคก้าวไกลที่ออกมาปั่นนโยบายขายเหล้าตลอดวันแต่ต่อต้านกัญชา ยกเลิกห้ามขายเหล้า-ฆ่าสัตว์ในวันพระ ความคิดนี้เป็นอันตรายต่อสังคม เพาะหัวเชื้อทางความคิดที่จะนำสังคมไปสู่ความวุ่นวาย และนำไปสู่การล่มสลายของประเทศชาติในที่สุด”

หรืออย่างผู้นำความคิดของปีกอนุรักษนิยม อย่าง ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร ได้โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อไม่นานมานี้ว่า ฟอกขาวคือการทำข่าวทำให้คนชั่วกลายเป็นคนดี ทำให้คนที่ทำผิดกลายเป็นคนทำถูก ป้ายสีคือการทำข่าวให้ร้ายคนดีให้กลายเป็นคนชั่ว ให้คนมีผลงานเป็นคนไร้ผลงาน เวลานี้มีสื่อบางรายทำหน้าที่ฟอกขาวให้นักการเมืองที่ชั่ว อย่างหน้าด้านๆ ไร้ยางอาย และยังทำหน้าที่ป้ายสี กล่าวหาคนดีด้วยการสร้างวาทกรรมและการบิดเบือนข่าว สังคมต้องเสื่อมเพราะนักการเมืองเลวบางคนที่ได้รับการสนับสนุนโดยข้าราชการชั่วบางคน กับสื่อสามานย์บางราย ที่ทำให้ประเทศชาติก้าวสู่ความพินาศ มาช่วยกันทำให้คนดีได้บริหารบ้านเมือง และหยุดอย่าให้คนชั่ว คนเลวได้มีโอกาสมาเป็นผู้นำบริหารบ้านเมืองเลยนะคะ

เครือข่ายและสื่อของปีกอนุรักษนิยมขวาจัด ที่สนับสนุนผู้นำพรรคทหาร เชื่อมต่อกันโดยมีเป้าหมายเพื่อล้มกระดานรัฐบาลประชาชน เพราะต้องการหยุดกระแสการเปลี่ยนแปลง การปฏิรูปที่นำโดยพรรคก้าวไกล เสมือนต้องการหมุนนาฬิกาให้เดินย้อนหลัง

วันนี้ การต่อสู้ระหว่าง 2 ขั้วความคิด เสรีประชาธิปไตย และอนุรักษนิยมขวาจัด เกิดขึ้นทั้งบนดินและใต้ดิน ออนไลน์และออฟไลน์

หลายคนจดจำภาพการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อเหลือง ได้ไม่ลืมเลือน

การปลุกกระแสรักชาติ กำลังกลับมาอีกครั้งในปี 2566

ขณะที่ถ้ารัฐบาลประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนกว่า 25 ล้านเสียง ถูกคว่ำกระดาน เพราะกระบวนการนิติสงคราม (Lawfare) มวลชนของกลุ่มนี้ที่อยู่ในหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ย่อมยอมรับไม่ได้ ถ้าโหวตเลือกพรรคการเมือง จนชนะเลือกตั้งท่วมท้นได้ที่นั่ง 312 แต่พรรคทหารจำแลง 66 เสียง ได้จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

สถานการณ์การเมืองจากนี้ไปจนถึงปี 2567 ตั้งเค้าจะเป็นการก่อตัวของวิกฤตความขัดแย้งครั้งใหญ่อีกครั้ง

 

ต้นมิถุนายนที่ผ่านมา นายบุศรินทร์ ปัทมาคม นักโหราศาสตร์ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง วิเคราะห์ดวงเมืองว่า นายพิธาอยู่ในเป้าตำบลกระสุนตก หากดูตามเหตุการณ์ บ้านเมืองน่าสงสาร ผลกระทบของดาวราหูจรกำลังทับลัคนาดวงเมือง ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2565 จนถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2566 ราหูจึงจะออกจากดวงเมือง แต่บังเอิญดาวพฤหัสฯ เป็นกาลกิณีจรที่ทับลัคนาดวงเมืองอยู่ ฉะนั้น จะเห็นว่าเจอราหูยังไม่พอ ยังเจอพฤหัสฯ ทับลัค ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2566 สิ้นสุดวันที่ 21 เมษายน 2567 ถึงจะเปลี่ยนจากกาลกิณีจร ซึ่งยังไม่เคยมีสถิติมาก่อน จึงเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

ดังนั้น ดวงเมืองจะวุ่นวายที่สุดเต็มที่จนถึงวันที่ 21 เมษายน 2567 ทั้งนี้ หากนายพิธาขึ้นมาราหูก็ยังทับลัคไปถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2566 ช่วง 5 เดือนนี้ มีแนวโน้มเจ็บตัว นอกจากวิบากกรรมจากดาวราหูแล้ว ยังมีทักษาจร คือ พฤหัสฯ เป็นกาลกิณีจร ซึ่งดาวราหูกับดาวเสาร์ เป็นหัวหน้าดาวศุภเคราะห์ และบาปเคราะห์

“ส่วนดาวราหูเป็นศัตรูของดวงเมืองมาหลายยุคหลายสมัย จนเป็นที่เชื่อว่าหากราหูทับลัคเมื่อไหร่จะเกิดวิกฤต ดังนั้น ช่วงนี้ จึงยังเป็นช่วงวิกฤตที่น่าจะเกิดขึ้นจากการ จ้องแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งปีนี้นายพิธาก็จะแก้รัฐธรรมนูญ เขาจะถูกขัดแข้งขัดขา เซบ้าง ล้มบ้าง ยืนได้ไม่มั่นคง ใช้คำว่าน่าห่วง ซึ่งก็สงสารเขาว่าจะต้องเจอสถานการณ์คล้ายปี 2491 และ 2492 ถ้าดูจากดวงเมืองเหตุการณ์บ้านเมืองถือว่าน่าเป็นห่วง ดวงของนายพิธาที่ต้องเจอกับศึกหนัก” นายบุศรินทร์กล่าว

เช่นเดียวกับ นายวินัย อวยพรประเสริฐ นักโหราศาสตร์สากลและยูเรเนียน กล่าวว่า เมื่อเอาดวงสำคัญๆ มาวิเคราะห์ จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยปีนี้ตลอดทั้งปี สัมพันธ์ถึงเมอริเดียนของประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นเวลา 1 ปีเต็ม โดยมีดาวพุธ ที่แปลว่า “การเคลื่อนไหว” กับอโพลอน ที่แปลว่า “ไกล” ซึ่งหมายถึง “พรรคก้าวไกล” จะมีอิทธิพลต่อประเทศไทยโดยตรง และตั้งฉากกับดาวพฤหัสฯ ซึ่งอาจหมายถึงกระบวนการทางศาล แปลความได้ว่า การเมืองปีนี้พรรคก้าวไกลอาจเข้ามามีอิทธิพลกับความคิด ของคนในประเทศ และมีปัญหาเรื่องของกระบวนการยุติธรรม โดยมีข้อจำกัดต่างๆ และจะเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจากดาวมฤตยู ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นแบบ ไม่ราบรื่น อาจมีการกระทบกระทั่ง

นี่คือฉากทัศน์การเมืองไทยผ่านสายตาโหราศาสตร์ แต่สำหรับมุมมอง นิธิ เอียวศรีวงศ์ ปัญญาชนสยาม นักประวัติศาสตร์ คนสำคัญเคยกล่าวว่า แม้ชนชั้นนำจะหมุนเข็มนาฬิกาย้อนไปเท่าไหร่ เข็มก็เดินหน้าอยู่ดี

เพราะนาฬิกาไม่เดินย้อนหลัง นั่นเอง!