ขอโทษและขอบคุณ | หนุ่มเมืองจันท์

หนุ่มเมืองจันท์facebook.com/boycitychanFC

วันก่อน “คมสันต์ ลี” มาบรรยายที่ ABC

“คมสันต์” เป็นเจ้าของ “แฟลช เอ็กซ์เพรส” สตาร์ตอัพที่เป็น “ยูนิคอร์น” รายแรกของเมืองไทย

ตอนนี้ขยายธุรกิจไปต่างประเทศ ทั้งลาว ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย

ก่อนที่จะเริ่ม “แฟลช เอ็กซ์เพรส” เขาได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิต

มีการเจรจากับนักลงทุนใหญ่รายหนึ่งว่าจะทำธุรกิจโลจิสติกส์ รับส่งสินค้าที่เติบโตตามธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

เขาใช้เวลาหลายเดือนศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดส่งให้นักลงทุนรายนั้นเป็นระยะๆ

แต่พอถึงขั้นเจรจาร่วมทุน นักลงทุนรายใหญ่กลับบอกว่าธุรกิจของ “คมสันต์” เล็กเกินไป เขาไม่ลงทุนกับคนตัวเล็ก

และเปลี่ยนไปลงทุนกับค่ายใหญ่รายหนึ่ง

โดยใช้ข้อมูลที่ “คมสันต์” ศึกษามา

นั่นคือ จุดเริ่มต้นของ “แฟลช เอ็กซ์เพรส”

“คมสันต์” ไม่ยอมแพ้ เขาไปเมืองจีนบ่อย เห็นระบบรับส่งสินค้าของเมืองจีนแล้วมาเปรียบเทียบกับเมืองไทย

เห็นช่องว่างทางธุรกิจเพียบเลยครับ

เมืองจีนไปรับสินค้าจากบ้าน แต่เมืองไทยต้องมาส่งที่ร้าน

จีนให้บริการ 7 วัน แต่เมืองไทยมีวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

เมืองจีนเป็นประเทศที่ใหญ่มาก แต่ภายในมณฑลจะได้รับสินค้าภายใน 1 วัน และในประเทศไม่ว่าไกลแค่ไหนก็ไม่เกิน 3 วัน

แต่เมืองไทยจังหวัดใกล้ๆ บางแห่งใช้เวลาถึง 3 วัน

ราคาค่าบริการ จีนคิดค่าส่งแค่ 15 บาท

แต่เมืองไทยตอนนั้น ค่าส่ง 70 บาท

เมื่อเปรียบเทียบธุรกิจรับส่งสินค้าในเมืองจีนกับเมืองไทย

“คมสันต์” เห็นแต่ “โอกาส”

แต่เขาต้องหาคนมาช่วย

และคนสำคัญที่สุด คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที

เพราะระบบการรับส่งสินค้าถึงหน้าบ้าน ระบบไอทีสำคัญที่สุด

“คมสันต์” มีภรรยาเป็นคนจีน

ภรรยามีญาติทำงาน HR ที่อาลีบาบา

เขาถามว่าในอาลีบาบามีพนักงานคนไหนที่ลาออกแล้วบริษัทเสียใจที่สุด

คำถามนี้คมมาก

HR คนนั้นคิดนิดหนึ่งแล้วเอ่ยชื่อบุคคลหนึ่งขึ้นมา

“เหว่ยเจี๋ย”

คนนี้ได้รางวัลพนักงานดีเด่นของอาลีบาบาติดต่อกันมา 5 ปีแล้ว

เงินเดือนสูง มีสต๊อกออปชั่นหุ้นของอาลีบาบา

หน้าที่การงานดี รายได้ดีขนาดนี้

มองในมุมไหนก็ยากที่จะมาร่วมลงทุนกับ “คมสัน”

คนตัวเล็กๆ ในเมืองไทย

 

แม้ความเป็นไปได้จะต่ำมาก แต่ “คมสันต์” ก็ไม่ยอมแพ้

เขาขอลองดูสักครั้ง

“คมสันต์” ขอให้ญาติช่วยนัด “เหว่ยเจี๋ย” ให้หน่อย

เขานัดกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง จองห้องส่วนตัวไว้เรียบร้อย

วันนั้น “คมสันต์” แต่งตัวดีมาก ใส่สูท ผูกไท้ รองเท้าหนังมันแผล็บ

พอถึงเวลานัด เขาก็ตรงไปห้องส่วนตัวที่จองไว้

เจอผู้ชายคนหนึ่งใส่หมวกแก๊ป เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะนั่งรออยู่

ตอนแรก “คมสันต์” คิดว่าผู้ชายคนนี้มาผิดห้อง

แต่พอถามชื่อก็รู้ว่านี่คือ “เหว่ยเจี๋ย” มนุษย์ทองคำที่เขาตามหา

“คมสันต์” เล่าว่าเขาเป็น “นักขาย” มานาน วันนั้นเขาขายสินค้า “ตัวเอง” อย่างเต็มที่

ใช้กลยุทธ์การขายทุกรูปแบบ

ยิงจนหมดแม็ก ก่อนลาจากกัน

วันรุ่งขึ้น เขาถามญาติที่เป็น HR คนนั้นว่า “เหว่ยเจี๋ย” มีท่าทีอย่างไรบ้าง

คำตอบที่ได้น่าตกใจมาก

“เหว่ยเจี๋ย” บอกญาติภรรยาว่า “คมสันต์” ไม่เข้าใจวิถีสตาร์ตอัพ

เพราะยังใส่สูท ผูกไท้ รองเท้าหนัง

แบบนี้สู้งานหนักไม่ได้แน่นอน

…ไม่เอา

“คมสันต์” ไม่ยอมแพ้ รอจังหวะเวลาจนถึงช่วงสงกรานต์ เขาจึงโทร.ชวน “เหว่ยเจี๋ย” มาเที่ยวสงกรานต์ในเมืองไทย

จะดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด และพาเที่ยวสงกรานต์อย่างเต็มที่

“คมสันต์” นั้นวางแผนไว้แล้วว่าจะให้ “เหว่ยเจี๋ย” มาดู “โอกาส” ในเมืองไทย

เริ่มต้นด้วยการพาไปศูนย์รับส่งสินค้าแห่งหนึ่งที่ The Street รัชดาฯ

ภาพที่ “เหว่ยเจี๋ย” เห็นก็คือ คนต่อคิวรอส่งสินค้ายาวเหยียด

เขาตกใจมาก

“เหว่ยเจี๋ย” เดินเข้าไปถามคนที่มาต่อคิวว่ามารอนานเท่าไร ส่งสินค้าอะไร ค่าบริการเท่าไร

หาข้อมูลอย่างละเอียด

เขาบอกกับ “คมสันต์” ว่าเป็นไปได้อย่างไร ที่ลูกค้าเอาเงินมาให้ถึงที่ต้องยืนรอต่อคิว

และเสียค่าบริการแพงมาก

เมื่อกลับมาถึงโรงแรม “เหว่ยเจี๋ย” ให้ “คมสันต์” กลับไปก่อน

ตอนแรกคิดว่า “เหว่ยเจี๋ย” จะพักผ่อนหรือแอบไปเที่ยวเอง

ประมาณเที่ยงคืน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

“เหว่ยเจี๋ย” โทร.มาหา “คมสันต์” บอกให้ไปหาที่โรงแรม

เขานึกว่ามีปัญหาเรื่องที่พักหรือทะเลาะกับคนไทย

พอไปถึงโรงแรม “เหว่ยเจี๋ย” บอกว่าเขาแอบไปดูที่ศูนย์รับส่งสินค้าที่เดิมอีกครั้ง

เพราะเขาคิดว่าภาพที่เห็นตอนกลางวัน “คมสันต์” อาจจะจ้างคนมาต่อคิวหลอกเขาก็ได้

แต่สิ่งที่เขาเห็นตอนค่ำด้วยตัวเอง ก็คือ คนยังต่อคิวส่งสินค้าเหมือนเดิม

หลังกลับไปเมืองจีนไม่นาน “เหว่ยเจี๋ย” ก็ตัดสินใจมาร่วมลงทุนบุกเบิก “แฟลช เอ็กซ์เพรส” กับ “คมสันต์”

แต่ก่อนจะตกลงใจ “คมสันต์” มารู้ตอนหลังว่า “เหว่ยเจี๋ย” ไล่เช็กข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขาจากคนที่เคยทำงานด้วย

สู้งานไหม-นิสัยเป็นอย่างไร

“คมสันต์” เล่าถึง “ความบ้างาน” ของ “เหว่ยเจี๋ย” ว่าถึงขั้นเอาเต็นท์มานอนที่บริษัท

ตื่นขึ้นมาก็ทำงาน ทำจนดึกแล้วก็กางเต็นท์นอน

ตื่นมาก็ทำงานต่อ

ขนาด “คมสันต์” เป็นคนทำงานหนักมากยังต้องคารวะเลย

มีครั้งหนึ่ง เขาปัสสาวะเป็นเลือดต้องเข้าโรงพยาบาล

วันรุ่งขึ้น “เหว่ยเจี๋ย” มาที่โรงพยาบาล

เขาดีใจที่เพื่อนมีน้ำใจมาเยี่ยม

แต่พอเปิดประตูเข้ามา “เหว่ยเจี๋ย” บอกให้ “คมสันต์” ลากสายน้ำเกลือลงไปข้างล่าง

…ประชุมงานกันต่อ

 

เวลาที่เราฟังเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของคน เหมือนกับเรากำลังดูหนังสนุกๆ เรื่องหนึ่ง

ลำบากแค่ไหนก็สนุก

เพราะเราแค่ฟัง 555

ตอนท้ายของการพูดคุย ผมถาม “คมสันต์” ง่ายๆ ไม่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ

“ความฝัน และความสุขในชีวิตคืออะไร”

“คมสันต์” บอกว่าเขาเคยอยู่บนดอย อยู่ต่างจังหวัด เห็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนที่สุด

คนบนดอยซื้อของใช้แพงกว่าคนกรุง

แต่พืชผลการเกษตรที่เขาผลิตกลับขายได้ในราคาที่ต่ำมาก

“ความฝัน” ของเขา คือ อยากลดความเหลื่อมล้ำเรื่องนี้

ส่วน “ความสุข” ของนักธุรกิจหมื่นล้านคนนี้ คือ เรื่องเล็กๆ ที่สุดในชีวิต

“ผมมีความสุขมากตอนเล่านิทานให้ลูกฟัง”

เขาเล่าว่าวันหนึ่งลูกมาบ่นเรื่องคุณครูให้ขึ้นไปพูดบนเวที

ลูกไม่กล้าขึ้นเวที

คืนนั้น “คมสันต์” ก็เล่านิทานที่แต่งเอง เป็นเรื่องของ “คมสันต์” และ “คมชัย” น้องชาย ไม่กล้าขึ้นเวที เล่าไปเรื่อยๆ เพื่อนำไปสู่ตอนจบว่าทั้งคู่ขึ้นเวที และได้เสียงปรบมือ

เย็นวันต่อมา ลูกเดินมาบอกว่าวันนี้เขาขึ้นเวทีแล้ว

“เพื่อนๆ ปรบมือให้ด้วย”

นั่นคือ “ความสุข” ของ “คมสันต์”

“โจ้” ธนา เธียรอัจฉริยะ ที่นั่งสัมภาษณ์ด้วยกัน ยิงคำถามสุดท้าย

เขาให้ “คมสันต์” พูดถึง “คมชัย” หรือ “เจสัน” น้องชายที่เรียน ABC รุ่นนี้และกำลังนั่งฟังอยู่

“คมสันต์” เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับน้องชาย ว่าตอนเล็กๆ ที่อยู่ด้วยกัน เขาดูแล “คมชัย” เหมือนพ่อกับลูก

จะไปเล่นกับเพื่อนอีกดอยหนึ่ง ก็ต้องแบก “คมชัย” ไปด้วย

แต่พอโตขึ้นต้องแยกกัน เขาไปอยู่กับพ่อ น้องไปอยู่กับแม่

กว่าจะมาเจอกันก็ตอนโตแล้ว

ความผูกพันก็ลดลงไปตามความห่าง

“คมสันต์” เป็นคนส่งน้องชายเรียนมาตลอด

ตอนที่จะเรียนมหาวิทยาลัย “คมชัย” อยากเรียนพละ

แต่ “คมสันต์” ไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าเลี้ยงตัวลำบาก เลยให้เรียนด้านธุรกิจ

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะให้เขาเรียนพละ ให้ได้ทำในสิ่งที่เขามีความสุข”

และตบท้ายสั้นๆ

“พี่ขอโทษ”

สั้นๆ แต่อึ้งกันไปทั้งห้อง

ผมหันไปมอง “โจ้” อยากให้เขาปิดจบ

“โจ้” สบตาผมแล้วไม่พูดอะไร

ต่างคนต่างเกี่ยงกัน เพราะรู้ว่าถ้าพูดอะไรออกไปตอนนี้

เสียงเครือแน่นอน

ผมตัดสินใจหันไปทาง “คมชัย” น้องชาย

ไม่พูด แต่ชี้นิ้วแล้วพยักหน้าให้เขาพูด

“คมชัย” บอกว่าถ้าพี่ให้เขาเรียนพละ วันนี้เขาคงอยู่กลางแดดร้อนๆ สอนพละอยู่

แต่ตอนนี้ผมอยู่ในห้องแอร์

“ต้องขอบคุณพี่ที่ให้ผมเรียนด้านธุรกิจ”

ปิดจบได้งดงาม •

 

ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 

www.facebook.com/boycitychanFC