ขอนแก่นสนธยา | เรื่องสั้น : พิชญ อนันตรเศรษฐ์

เรื่องสั้น | พิชญ อนันตรเศรษฐ์

ขอนแก่นสนธยา

 

เมืองทุกเมืองล้วนมีกลิ่นเฉพาะ

นั่นคือสิ่งที่ผมรับรู้มาตลอดในการเดินทางข้ามผ่านจากดินแดนหนึ่งสู่ดินแดนหนึ่ง

มวลกลิ่นเหล่านั้นมีความเฉพาะตัวในแต่ละพื้นที่

น่าแปลกที่มันไม่ได้เดินทางข้ามผ่านพรมแดนที่มนุษย์อย่างเราสมมุติขึ้นเพื่อใช้ในการแบ่งแยกบ้านต่อบ้าน เมืองต่อเมือง ภูมิภาคต่อภูมิภาค ทุกเมืองจึงมีกลิ่นของหลายสิ่งผสมรวมอยู่ในอากาศ แม้กระทั่งวิญญาณของพวกมัน

ผมเดินทางผ่านอากาศขุ่นมัวของเมืองหลวง บนถนนไฮเวย์แทบจะมีรถนับคันได้ รถเก๋งคันที่ผมนั่งอยู่ ส่งเสียงเจ็บปวดดังแว่วมาจากช่วงล่างอยู่เป็นระยะ มันน่าจะเกิดจากบรรดาหินกรวดที่คอยกระดอนขึ้นมากระทบตัวถังอยู่ตลอดเวลา ทำให้มันเป็นอีกแหล่งกำเนิดเสียงหนึ่งที่คลอไปกับเสียงเครื่องยนต์ เสียงแอร์ที่ดังหึ่งอยู่ตลอดเวลา และเสียงบทเพลง “ข้าด้อยเพียงดิน” ถูกขับร้องโดย สายัณห์ สัญญา นักร้องที่เคยมีชีวิตอยู่ เมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้ว

“ความเร็วคงที่ อีกราวๆ 3 ชั่วโมงก็น่าจะถึง” พลขับหันหน้ามาสบตาผมอยู่แวบหนึ่ง ใบหน้าของเขามีร่องรอยของเนื้อหนังที่เย็บติดกับแผ่นโลหะสังเคราะห์ได้ไม่แนบสนิทนัก ร่างกายช่วงล่างของเขาถูกกัดกินด้วยโรคร้ายและเสริมเติมด้วยอวัยวะเทียมราคาถูก นั่นทำให้ร่างของเขาเสมือนถูกตัดแปะเข้ากับแท่งเหล็กที่ไร้สุนทรียะแห่งการออกแบบเพื่อให้เหมือนกับชิ้นส่วนดั้งเดิมของชีวิต

เรา อันหมายถึงผมซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง และพลขับที่ผมเป็นคนว่าจ้าง ออกเดินทางจากเมืองหลวงตั้งแต่ฟ้ามืด เวลาที่ผมพอจำได้ก่อนที่จะผล็อยหลับไป คือ 04.00 น. เป็นความจำเป็นที่ต้องออกเดินทางในเวลานี้ เพราะมิฉะนั้นจะต้องเผชิญกับพายุฝุ่นที่จะเคลื่อนโหมกระหน่ำเมืองเบื้องล่าง

เหล่าผู้มีอันจะกิน ได้แก่ พวกทายาทตระกูลโบราณ นักธุรกิจ และเหล่าบุคคลสำคัญทางการเมือง ไม่ต้องรีบร้อนที่จะต้องตื่น พวกเขาจะตื่นในเวลาใดก็ได้ ภายในห้องพักหรูบนตึกสูงเสียดฟ้า ที่ได้ถูกสร้างอยู่ในระดับความสูง 270 เมตรขึ้นไป เกินกว่าที่มวลพายุฝุ่นจะแตะถึง พวกเขามีรถบินส่วนตัว ยานพาหนะที่เป็นได้แค่ภาพฝันเลือนรางสำหรับชนชั้นล่าง นั่นยังไม่นับรวมกับ “ไทคูน” เราเรียกกันแบบนั้น อาณาจักรลอยเหนือฟากฟ้าที่ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชบริพาร และเหล่าเชื้อกษัตริย์ อาศัยอยู่ เป็นอาณาจักรที่รวมทุกความหฤหรรษ์ ให้นึกถึงเรือสำราญเอาไว้ บนนั้นมีทุกสิ่งที่เรือสำราญที่หรูที่สุดนั้นมี แล้วคูณด้วย 3 เท่า

ส่วนคนพื้นล่างเช่นผม แค่การได้มีรถเพื่อเดินทางข้ามจังหวัดได้ ก็ถือว่าเป็นโชคที่ดีเหลือเกินจะเอ่ย เพราะในอากาศที่ร้อนเกิน 42 องศาเช่นนี้นอกตัวเมือง ต่อให้มีมอเตอร์ไซค์เพื่อขับพาพุ่งทะยาน กับบางคนก็คงไม่อาจรอดพ้นจากคลื่นความร้อนที่รุนแรงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ ไม่มีอะไรที่จะใช้คาดการณ์อากาศในยุคสมัยนี้ได้เลย

ปลายทางที่กำลังจะมุ่งหน้าไป คือเมืองขอนแก่น บรรดาเจ้าสัว เจ้าที่ดินของเมืองนี้ ต่างย้ายเมืองเข้ามาเป็นพลเมืองชั้นสองของกรุงเทพฯ ไปเกือบหมดแล้ว ที่นี่จึงมีประชากรอาศัยบางตากว่าที่ผมเคยอ่านเจอว่า นี่คือหัวเมืองสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเมืองเดียวดายที่อย่างน้อยก็ยังไม่เจอผลกระทบของพายุฝุ่น มีแต่เรื่องของจำนวนผู้อาศัยที่บางตา แทบจะไม่มีอัตราเพิ่มของเด็กเกิดใหม่ในเมืองนี้มาตั้งนานแล้ว พูดให้รวบรัดก็คือ มันเป็นเมืองที่ไม่มีอะไรเลย

แต่ถ้ามันไม่มี ผมก็คงไม่มาหรอก มีเรื่องบางเรื่องที่ผมจะต้องมาจัดการ รับค่าจ้าง แล้วค่อยกลับไปสู่โลกอมฝุ่นสีน้ำตาลที่ผมจากมา ในฐานะนักล่า นักตามหา นักเขียน แล้วแต่ว่าจะมองยังไง หรือจะจ้างให้ทำอะไร ผมไม่เกี่ยงอยู่แล้ว

 

เสียงบุหรี่ที่ถูกดับบนผิวหนังผอมบาง ส่งเสียงฉ่าาาาลากยาวพร้อมกับเนื้อที่ลุกไหม้และเกิดรอยบุ๋มเหมือนผืนดินที่อัดกระแทกด้วยอุกกาบาตที่ร่วงหล่นจากฟ้าโดยยังมีอุณหภูมิร้อนแรงแหวกรูขุมขนให้เลือดทะลักออกมาปะปนกับน้ำหนองใสกึ่งขุ่น เจ้าของท่อนแขนที่ถูกจี้ดิ้นทุรายขณะถูกมัดตรึงกับเก้าอี้ เขาถูกมัดด้วยเทคนิคการมัดแบบโบราณที่มีความซับซ้อนมากกว่าแค่เอาขดเชือกมาหมุนรอบๆ ตัว มันคือการจัดมุมทแยงซ้ายและขวา พาดผ่านด้วยโครงสร้างอันแสนซับซ้อน ผมเองก็นึกว่าเทคนิคการมัดที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้น ได้หายสาบสูญไปนานแล้ว

แต่ทั้งหมดที่ผมกำลังจ้องมองอยู่ เป็นแค่การละเล่นกับความเจ็บปวดเท่านั้น ผมกำลังอยู่ในห้องลับใต้ดินของอาคารเก่าหลังหนึ่ง ไม่ห่างจากสถานีขนส่งที่บัดนี้ร้างไปแล้ว

ร้างทั้งในเชิงของการไม่มีมนุษย์คนใดย่างกรายเข้าไปถ้าไม่จำเป็น และร้างในเชิงของการไม่มีกฎเกณฑ์อะไร

นี่อาจจะเป็นโลกของหมาป่า ที่แม้แต่ลูกแกะก็ยังต้องแสร้งว่าตนมีเขี้ยว ถ้าอยากจะรอดชีวิตในโลกใบนี้

ที่นี่เป็นทั้งบาร์เหล้า และสถานที่รวมตัวของผู้ที่เคลื่อนชีวิตด้วยสัญชาตญาณดิบ แตกต่างจากเหล่าคนเมืองที่ผมหันหลังให้เพียงชั่วคราว ผมมาที่นี่เพื่อจะรอนัดพบกับคนที่พร้อมจะพาผมไปที่พัก และพร้อมจะแชร์เบาะแสของสิ่งที่ผมต้องการตามล่า

มีมือๆ หนึ่งมาสะกิดที่ไหล่ของผม หันขวับไป นั่นคือไอ้เอ็มใหญ่ ชายหัวล้านที่อยู่ในเสื้อโอเวอร์โค้ตหนังสีดำ ใส่แว่นตาดำ และด้วยความตาไว ผมสังเกตเห็นถุงน่องตาข่ายรัดท่อนขา เหมือนเป็นแค่เยื่อบางเบาที่พร้อมจะฉีกขาด “ห้องอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” เอ็มใหญ่พยายามตะโกนแข่งกับเสียงเพลงภายในร้าน “จะรอก็ได้นะ หรือถ้าไม่อยากอยู่แถวนี้นาน เดินไปก็ได้ เตรียมห้องเอาไว้ให้แล้ว” แล้วก็ส่งกุญแจพวงหนึ่งมาให้ ผมรับไว้ แล้วจึงเดินออกมาจากชั้นใต้ดินนั้น

ยืนนิ่งสงบอยู่ที่หน้าร้านสักพัก ผมถอดจมูกชุดที่สามารถกรองควันบุหรี่ได้ แล้วใส่จมูกชุดเดิมกลับเข้าไป เงยหน้ามองฟ้า คืนนี้จันทร์เต็มดวง และมีสีแดงเข้มราวกับเลือด หากแต่นั่นคือสัญญาณของพายุฝุ่นที่กำลังจะพัดเข้ามา ผมรีบเดินแบกกระเป๋าไปตามทางที่เอ็มใหญ่บอก หาไม่ยากเท่าไหร่ และห้องก็ได้รับการจัดแจงเป็นอย่างดี ผมกระโจนตัวนอนทันทีอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

ในขณะที่ดวงจันทร์ยังสีแดงเข้มข้นแม้กระทั่งในฝัน

 

งานที่ผมได้รับการว่าจ้างมา คือการตามหาความคิดกบฏที่ถูกอัพโหลดลงในการ์ดเมมโมรี่ ที่กำลังกระจายไปทั่วภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เรื่องนี้เป็นเสมือนเส้นผมที่บังขุนเขา กลุ่มชนชั้นศักดินาที่อาศัยบนไทคูนได้ให้ตัวแทนของพวกเขา ทำการตามตัวผมมาจากเมืองเบื้องหลัง เนื่องจากพวกเขาเคยรับรู้ถึงอดีตของผม อดีตนักเขียนที่เชี่ยวชาญรูปแบบการเขียนโบราณ ผมน่าจะเป็นคนจำนวนน้อยนิดที่ยังจดจำเทคนิคทางวรรณกรรมแห่งโลกยุคก่อนได้ แม้ว่าทุกวันนี้ ข้อมูลข่าวสารทุกอย่าง ทุกมิติของสหวิทยาการได้ถูกนำไปแปลงเป็นไฟล์ไร้ตัวตนจับต้อง และทำการย้ายเข้าไปไว้ในคลังแห่งคลาวด์

หน่วยความจำขนาดยักษ์ที่มีแต่ชนชั้นสูงและบุคคลในรัฐบาลเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงคลาวด์ ปล่อยปละให้ชนชั้นล่างที่อาศัยอยู่บนพื้นโลกจมอยู่กับพายุฝุ่นและความโง่เขลา ก็เพราะความโง่เขลาสามารถชักจูงได้ง่าย ต่อให้จะยากแค้นแค่ไหน ประชาชนก็ไม่เคยมีความคิดแห่งการลุกฮืออยู่ในกมลสันดาน มีเพียงแค่การยอมรับชะตากรรม พากันเชื่อเต็มหัวจิตหัวใจว่า นี่คือกรรมเก่าที่ทำให้ตนไม่ได้ไปขึ้นไปเกิดบนไทคูน ฉะนั้น ก็จงยอมรับและเอาตัวเองให้รอดก็พอแล้ว

นานมาแล้ว ผมเคยเขียนหนังสือ จนกระทั่งได้มีกฎหมายควบคุมปริมาณหนังสือ เนื่องจากจำนวนป่าไม้ที่ลดลง จนในที่สุด เมื่อความรู้ถูกอัพโหลดโดยไม่ต้องมีหน้ากระดาษอีกต่อไป ความเป็นนักเขียนของผมก็ไร้ความหมาย

กับเพื่อนฝูงบางคนก็ยอมที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็นนักเขียนโปรแกรมด้วยวิธีแบบ SEO เพื่อการสร้างงานสนองต่อความต้องการของประชากรบนไทคูน มันคงไม่ใช่แนวทางของผม ถึงจะมีคนมาชวนมากมายก็ตาม แต่ผมก็ไม่อยากไปเป็นขี้ข้ารับใช้พวกคนบนนั้นหรอก ผมจึงเริ่มต้นการเป็นนักล่า โดยใช้ความสามารถในการหาข้อมูลเพื่อใช้ทำมาหากิน แม้จะไม่ได้เงินมาก แต่ก็ยังรู้สึกเป็นอิสระ ซึ่งบางครั้งผมก็ไม่แน่ใจว่า อิสระที่ผมรู้สึกนั้น มันคือการหลอกตัวเองหรือเปล่า

ความคิดที่ผมถูกว่าจ้างให้ตามล่านั้น จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะมันคือการหาตัวการ์ดที่ถูกเผยแพร่อย่างเงียบๆ แต่ส่วนที่ยากที่สุดก็คือ ผมต้องตามให้เจอต้นตอของความคิดนั้น มันไม่ใช่ความคิดแห่งการกบฏทั่วไป มันคือชุดความคิดของเหล่ากบฏผีบุญ ที่หายสาบสูญไปนานมากแล้ว กว่าหลายร้อยปี มันคือความสะเพร่าอย่างน่าขบขันของรัฐบาลที่เคยเชื่อว่าฝ่ายตนสามารถรวบรวมทุกค่านิยม ทุกหน้าของประวัติศาสตร์ เอามาแปลงเป็นดิจิทัลเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม นั่นรวมถึงการทำลายเหล่าความคิดนอกรีต ประวัติศาสตร์กระแสรองทั้งหลายที่ไม่มีประโยชน์ต่อรัฐบาล

พวกนั้นเชื่อว่าทุกชุดความคิดได้ถูกทำลายหมดแล้ว จนกระทั่งปรากฏข่าวลือการแพร่หลายของชุดความคิดแห่งเหล่ากบฏผีบุญ นั่นทำให้พวกรัฐบาลคงทั้งโกรธและหวาดผวา ที่ปล่อยให้ความคิดเหล่านั้น เจริญเติบโตอย่างลับๆ และมีความเป็นไปได้ว่าสักวัน ชุดความคิดนั้นจะต้องย้อนกลับมาทำลายรัฐบาลเป็นแน่

แต่งานนี้จำเป็นต้องใช้คนนอก เพื่อไม่ให้สิ่งใดก็ตามที่เกิดความผิดพลาดได้ถูกสาวต่อมายังรัฐบาลและสังคมชนชั้นสูง จึงต้องเป็นหน้าที่ของผม ซึ่งถ้าสำเร็จ ผมก็ได้เงินค่าจ้างที่สูงกว่าเรตปกติถึง 3 เท่า นั่นทำให้ผมรับรู้ถึงความเสี่ยงว่า ถ้าไม่สำเร็จ ผมจะต้องเจอกับอะไรสักอย่าง ที่จะมาทำลายชีวิตของผมให้ป่นปี้เป็นแน่

ในเช้าวันใหม่ ผมได้พบกับเอ็มใหญ่อีกครั้ง เขาพาผมไปนั่งกินโจ๊กที่ตลาดบางลำพู และให้ข้อมูลกับผมว่า ชุดความคิดกบฏผีบุญ ได้ถูกเล่าขานกันแบบปากต่อปาก ภายในเขตเมืองขอนแก่นมาเนิ่นนานแล้ว จนกระทั่งได้มีการก่อตั้งชุมนุมลับ ในบริเวณรกร้างแห่งหนึ่งไม่ไกลจากตัวเมือง ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า เขตงานธารทิพย์

เอ็มใหญ่อาสาว่าจะพาผมไปร่วมชุมนุม โดยตกลงกันว่าผมต้องปลอมตัวเป็นญาติของเอ็มใหญ่ที่เดินทางขึ้นมาจากเขตงานทางภาคใต้ การจะปลอมแปลงตัวเองนั้น สำหรับผมเอง ไม่ใช่เรื่องที่ยากเท่ากับการต้องไปตีสนิทกับเหล่าผู้ชุมนุมในเขตงาน

ผมเตรียมชุดจมูกที่ผมสามารถเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ เพื่อให้การยืนยันด้วยรหัสทางชีวะสามารถจำแลงว่าผมเป็นใคร ผมมีทั้งชุดจมูกที่ใช้ยืนยันว่าผมเป็นคนอื่นได้ และชุดจมูกที่ใช้สำหรับการค้นหาแบบพิเศษ จมูกที่ได้รับการอัพเกรด สามารถใช้สูดเพื่อตามหากลิ่นที่มีความเฉพาะตัวสูง ไม่ว่ากลิ่นกายของแต่ละบุคคลจะเป็นเช่นไร ไม่มีคำว่าผิดพลาดสำหรับผม เพียงแต่การเข้าไปในเขตงาน ผมจำเป็นต้องใช้จมูกเทียมสำหรับการปลอมตัว มันใช้ได้เพื่อการนี้เท่านั้น ผมจึงต้องใช้ทักษะการสังเกตเพียงเท่านั้น เพื่อการต่อยอดไปสู่อีกเบาะแส

และไม่แน่ อาจทำให้ผมได้ค้นพบเป้าหมาย

 

เป็นตรอกเล็กๆ ที่มีถนนลูกรังเคลือบฝุ่นสีแดงปูลาดเข้าไปสู่ทางตันที่เป็นกำแพงต้นไม้ขยายกิ่งก้านจนหนาทึบ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็จะพบซอกที่สามารถขับมอเตอร์ไซค์ผ่านเข้าไปได้ มองขึ้นไปบนฟ้า ราวกับถูกครอบด้วยโดมสีเขียวครึ้ม เป็นการยากที่จะขับผ่านด้วยรถบินแล้วจะมองเห็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนพื้นราบ พื้นที่แห่งนี้จึงเหมาะในเชิงยุทธศาสตร์ของการใช้เป็นที่ชุมนุมลับ บัดนี้มีผู้คน 4-5 คน เดินกระจัดกระจายภายในพื้นที่ สลับตำแหน่งระหว่างโซนก่อไฟเพื่อปิ้งข้าวจี่และเนื้อวัว กับโซนที่วางเครื่องชงกาแฟและกระติกบรรจุน้ำแข็งสำหรับการแช่เบียร์

เป็นที่แน่ชัดว่าพวกเขาต้มเบียร์ไว้ดื่มกันเอง เนื่องจากเครื่องดื่มมึนเมาเป็นสิ่งผิดกฎหมายของชนชั้นล่าง แต่สามารถดื่มได้อย่างเสรีบนไทคูน ผมสวมบทบาทสมมุติอย่างเต็มที่ เดินเข้าไปทักทายคนอื่นๆ ทำตัวราวกับสนิทกันมาเนิ่นนาน เมื่อลักษณะทางชีวะของผมผ่านการสแกนรูปหน้า พวกเขาจึงผ่อนคลายกับคนแปลกหน้าคนนี้มากขึ้น ต่างยื่นเบียร์และเนื้อไก่ย่างที่อุ่นได้ที่ให้กับผม

สายตาที่สอดส่ายไปมาแต่ไม่พยายามให้เป็นที่ผิดสังเกต ทำให้ผมได้พบกับรูปภาพในกรอบที่ถูกสกรีนให้ครึ่งหนึ่งเป็นใบหน้าจริง อีกครึ่งหนึ่งเป็นรูปหัวกะโหลกที่ถ่ายด้วยเครื่องเอ็กซเรย์ ผมได้รับรู้ว่า รูปนั้นคือด๊อกเตอร์ถนอม ชาภักดี นักค้นคว้าเรื่องกบฏผีบุญคนสุดท้าย ถนอมเป็นเสมือนวีรบุรุษผู้แลกชีวิตตนเองเพื่อการปลุกตำนานของเหล่าผีบุญ กลุ่มชาวบ้านลึกลับที่รวมตัวต่อต้านรัฐบาลส่วนกลางอันเนื่องมาจากการขูดรีดภาษีอย่างไม่เป็นธรรม ถนอมเสียชีวิตก่อนที่กลุ่มพายุฝุ่นลูกแรกโถมเข้าโจมตีเมืองหลวงและหัวเมืองต่างๆ ถนอมจากไปก่อนที่จะเห็นความล่มสลายของหัวเมืองตะวันออกเฉียงเหนือ และการกำเนิดชนชั้นสูงกับนครไทคูนลอยฟ้านั่น

บางคนกล่าวว่า ถนอมคือคนที่ไม่ยอมแม้กระทั่งการมีอนาคตที่รุ่งโรจน์และเป็นนิรันดร์ ตราบใดที่อดีตแห่งเหล่าผีบุญยังไม่คลี่คลาย

เขาถึงไม่ยอมรับข้อเสนอของเหล่าชนชั้นสูงเพื่อไปรับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลบนไทคูน จนกระทั่งผืนดินที่ถนอมรักจนหมดหัวใจได้กลบหน้าเขา

ตอนนี้แหละ ที่ผมพบทางตัน ในเมื่อถนอมตายไปแล้ว แต่ทำไมชุดความคิดเหล่านั้นยังอยู่ และกลายเป็นความหวาดกลัวล่าสุดของพวกไทคูน

 

แต่ถึงกระนั้น ความพยายามในการปลอมแปลงของผมก็ไม่สูญเปล่า ซึ่งมันก็พอจะพูดได้เต็มปากว่า มันคือความสามารถของผมในการผูกสัมพันธ์กับใครต่อใคร ผมจึงได้รู้เบาะแสเพิ่มเติมจากเหล่าสมาชิกวัยรุ่นของเขตงาน ว่าหากต้องการจะรู้จักสิ่งที่ด๊อกเตอร์ถนอมได้ศึกษาเอาไว้มากกว่านี้ ผมควรจะไปหาฤๅษีโอ๊บ ผู้ที่ใกล้ชิดด๊อกเตอร์ถนอมในช่วง 2-3 ปีสุดท้ายก่อนที่ท่านจะตายจากไป

ในวันต่อมา ผมลองเสี่ยงเดินทางไปโดยไม่ได้บอกกล่าวคนที่ผมกำลังจะเดินทางไปหา บ้านของฤๅษีโอ๊บ มีป้ายแกะสลักไม้แขวนเอาไว้ด้านหน้าบ้านว่า “เรือนหมาจร จำหน่ายวัสดุก่อไฟ”

ผมเดินเข้าไปภายในบริเวณบ้านเพียงไม่กี่ก้าว ผมก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวอย่างเร็วรี่ตรงดิ่งมาทางประตูไม้หน้าบ้าน ฤๅษีโอ๊บเปิดประตูออกมา ด้วยร่างขาวโพลนของเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว กางเกงเลสีขาวมีรอยขาดขนาดกว้างตรงหัวเข่าทั้งสองข้าง และผมยามสลวยสีขาวดั่งกระดาษ ร่างของเขาขาวจนทำให้แสงแดดขุ่นมัวกลายเป็นเจิดจ้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อผมเดินเข้ามาในบ้าน ผมก็ได้พบว่าตัวเองกำลังตาลุกวาวแบบที่ไม่เคยได้ตกอยู่ในอาการนี้มานานแล้ว ไม่ว่าด้านไหนของบ้านก็เต็มไปด้วยหนังสือ ทั้งคัมภีร์โบราณหายาก วรรณกรรมเกือบจะทุกรูปแบบเท่าที่ผมพอจะรู้จัก ผมรู้สึกได้ถึงมวลความคิดมากมายที่อัดแน่นราวกับถูกปิดผนึกเอาไว้มากว่าค่อนศตวรรษ และบัดนี้มันก็ได้เผยพลังงานพุ่งเข้าทะลวงทุกรูขุมขนที่ยังคงมีความเป็นมนุษย์ของผม เปรียบได้เหมือนตัวผมได้ถูกนำเข้ามายังใจกลางของปรัมพิธีโบราณแห่งหนึ่ง

ฤๅษีโอ๊บกล่าวกับผมว่า ในทุกวันนี้ หนังสือที่เห็นทั้งหมดนี้ เมื่อนานมาแล้วนับเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ เพราะมันคือสิ่งบรรจุรายละเอียดอันมหาศาลในกาลเวลาของมวลมนุษยชาติ แต่เมื่อวันหนึ่งที่ความรู้กลายเป็นสมบัติของคนชนชั้นสูง แถมในตอนนี้ก็ไม่มีใครอ่านหนังสือที่เป็นกระดาษแล้ว สิ่งที่เคยประเมินค่าไม่ได้ในอดีตกาล บัดนี้จึงมีค่าขึ้นมาในอีกรูปแบบหนึ่ง คือการเป็นเชื้อเพลิงสำหรับบ้านที่ไม่มีไฟฟ้าเพื่อการหุงหาอาหาร หนังสือเหล่านี้จึงกลายเป็นวัสดุก่อไฟในที่สุด และร้านหนังสือก็ไม่อาจจะเป็นร้านหนังสือได้อีกต่อไป

“แต่ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เดินทางมาเพื่อหนังสือเหล่านี้ คุณมาเพราะความคิดกบฏที่คนบนไทคูนกำลังตามหา” ฤๅษีโอ๊บจู่โจมผมด้วยคำพูดก่อน แล้วจึงกระโจนร่างเข้ามาหาผม

เป็นความประมาทของผมที่ไม่ทันตั้งตัวเพราะสติดันไปจดจ่อกับหนังสือเหล่านั้น แต่ผมก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า โปรแกรมตอบโต้แบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเคยซื้อเอาไว้เพื่อทำการอัพโหลดใส่สมอง เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉินแบบนี้แหละ คุ้มกับเงินเก็บกว่า 4-5 ปีที่อดออมไว้

ผมเอี้ยวตัวหลบทันพร้อมกับควักปืน 9 ม.ม. ขนาดเท่ากระเป๋าสตางค์ซึ่งผมเหน็บเอาไว้ที่ด้านหลัง แต่ด้วยความที่ว่า นี่เป็นการใช้โปรแกรมครั้งแรก มันทรงประสิทธิภาพ แต่มันก็มีประสิทธิภาพมากเกินไปสำหรับสถานการณ์นี้ ผมตั้งใจว่าอย่างมากสุด ก็คงจะยิงเพื่อหยุดการจู่โจม แต่กระสุนนั่นดันพุ่งทะลุบริเวณเหนือคิ้วด้านขวา ฤๅษีโอ๊บหงายหลังลงไปกองกับพื้น ด้วยแรงสะบัดที่ผมมักเรียกอาการแบบนี้แบบติดตลกว่า หงายท้องหงายไส้ และตอนนี้ สีขาวที่เคยสว่าง ก็ค่อยๆ มีสีแดงคืบคลานอย่างทะลักทลาย

ผมได้แต่คิดว่า ชิบหายแล้ว ไม่ใช่เพราะการฆ่าคนหรอกที่ทำให้ผมอุทาน แต่การยิงหัวคนมันอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อความคิดต่างๆ ที่ถูกอัพโหลดเก็บเอาไว้ นั่นก็หมายรวมถึงบางความลับที่มันอาจทำให้ผมได้ในสิ่งที่ต้องการ ผมทำการคลำหาจุดสำหรับอัพโหลดบริเวณท้ายทอย โชคดีที่อย่างน้อยก็เจอ คราวนี้คงต้องวัดดวงกันเสียหน่อย ผมพกหลอดยิงเลเซอร์มาพอดี ทำการยิงเลเซอร์เพื่อเปิดช่องขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัส แงะเปลือกกะโหลกออกเพื่อให้มองเห็นหน่วยความจำที่ฝังแน่นกับรอยหยักสีชมพูเข้มข้นของสมอง ผมทำการควักออกมา เศษสมองทะลักออกมาเล็กน้อย ผมทำการเสียบหน่วยความจำเข้ากับเพาเวอร์แบงก์เพื่อให้มันยังมีกระแสไฟหล่อเลี้ยง ทุกอย่างเสร็จสิ้น

ผมทิ้งศพฤๅษีโอ๊บไว้เบื้องหลัง ผมต้องหนีออกจากขอนแก่นภายในตอนนี้ อาจหมายถึงเดี๋ยวนี้

 

แม้งานที่ได้รับว่าจ้างมาจะไม่ได้ตรงตามเป้าของนายจ้างร้อยเปอร์เซนต์ แต่ข้อมูลของฤๅษีโอ๊บนั้นก็ยังพอมีประโยชน์ ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับกลุ่มขบถใต้ดิน กลุ่มเขตงานธารทิพย์ กำลังจะทำให้เกิดการกวาดล้างในอีกไม่นานจากนี้ แต่พวกไทคูนก็ยังคงกังวลกับชุดความคิดที่คาดว่า มันจะยังคงกระจัดกระจายอย่างเร้นลับต่อไปในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่หน้าที่ของผมมันก็จบไปแล้ว

ตอนนี้ ผมเหลือเพียงแต่เวลาว่างอันไร้ที่สิ้นสุด กับหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมหยิบติดมือมาจากเรือนหมาจร เป็นหนังสือเก่า หน้ากระดาษกึ่งแข็งกึ่งกรอบ มีร่องรอยฉีดขาดเล็กน้อย รวมทั้งมีกลิ่นบางอย่างที่ติดฝังในเนื้อกระดาษของแต่ละหน้า ผมเริ่มต้นอ่าน มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับพงศาวดารของเมืองขอนแก่นนับตั้งแต่ครั้งอดีตเมื่อครั้งก่อร่างสร้างเมือง แต่ทิศทางของการเล่าเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ภายในเล่ม

มันระบุผ่านสายตาของหนึ่งในสมาชิกของขบวนการผีบุญ ที่เริ่มจากความไม่อาจอดทนต่อการกดขี่ของรัฐส่วนกลางที่กระทำกับชาวเมืองราวกับเป็นข้าทาสแห่งพื้นที่อาณานิคม

ทว่า ผลลัพธ์ของการก่อเกิดกลุ่มต่อต้านก็จบลงด้วยการถูกระดมยิงด้วยปืนใหญ่เข้าใส่เหล่าผู้มีบุญ มีผู้คนมากมายถูกจับกุมเพื่อถูกประหารด้วยการตัดคอ แล้วเอาหัวเสียบประจานบริเวณกำแพงรอบที่ทำการของเจ้าเมือง ในช่วงสุดท้ายของหนังสือ เหมือนผู้เขียนจะปิดท้ายมันด้วยคำอธิษฐานว่าขอให้เกิดมาในชาติหน้าไม่ต้องโดนกดขี่เช่นนี้อีก รวมทั้งความปรารถนาที่จะส่งผ่านสู่ลูกหลาน ว่าอย่าได้หลงลืมสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งอดีต ว่าให้ช่วยสานต่อในสิ่งที่บรรพบุรุษทำไม่สำเร็จ

นี่อาจจะเป็นต้นทางของชุดความคิดที่ผมตามหาอยู่ แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้อีกแล้ว ผมเก็บหนังสือเล่มนี้ใส่ลิ้นชัก และพยายามจะลืมว่ามันเคยมีสิ่งนี้อยู่

แต่กลิ่นของหนังสือ ยังคงล่องลอยวนเวียนอยู่รอบตัวผม ไม่ยอมหนีห่างไปไหน กลิ่นได้ตามผมไปทุกที่ ผมเปลี่ยนอะไหล่จมูกของผม ไม่ว่าจะกี่ชิ้นก็ตาม ก็ไม่อาจขจัดกลิ่นที่ว่านั้นได้

นับวันกลิ่นนั้นก็ยิ่งแรงขึ้น มันก่อตัวขึ้นในชั้นอากาศ แฝงอยู่ในอณูฝุ่นในเมือง ผมรู้สึกถึงมันได้ มันไม่ใช่กลิ่นที่เปราะบางไร้ตัวตนอีกต่อไป มันกำลังประกาศเจตจำนงปริศนาบางอย่างที่ผมไม่อาจรู้ได้ กลิ่นเหล่านั้นเริ่มหนาหนัก เริ่มมุ่งมั่น เสมือนมันกำลังจะประกาศสงคราม ทั้งต่อผู้คนในเมืองล่าง และผู้คนบนไทคูนที่กำลังลอยอยู่บนฟ้า

เมืองเริ่มมีกลิ่น สภาบนไทคูนเริ่มประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อการทำความสะอาดครั้งใหญ่ เมืองทั้งเมืองจะถูกฟอกในทุกซอกทุกมุมให้สะอาดเอี่ยมไร้กลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ว่านั้น

แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เมื่อวันหนึ่งผู้คนมากมายเริ่มพูดถึงความฝันประหลาด ในฝันนั้น พวกเขาเห็นขบวนผู้คนตัวดำมะเมื่อม แววตาลุกโชน เดินยาตราเข้ามาในเมือง ส่งเสียงร้องเพลงที่พวกคนเมืองไม่เคยรู้จัก คลอไปกับเสียงพิณและเสียงแคนดังแว่วอย่างสม่ำเสมอจนราวกับไม่มีสิ่งใดจะหยุดยั้งได้

ผมรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลง เมื่อผมได้พบว่า แววตาของผู้คนที่ผมมองเห็นตามท้องถนน มีแววแห่งความมุ่งมั่นอย่างแปลกประหลาด ผสมรวมกับแววแห่งความแค้นเคืองบางอย่าง

มีบางความจริงกำลังอุบัติขึ้น แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่อาจหนีพ้นกลิ่นเหล่านี้ได้

ผมรู้ มันคือกลิ่นของการปฏิวัติ ที่เกิดจากเหล่าภูตผีจากขอนแก่น และการตอบโต้ที่คาดไม่ถึง มันได้เริ่มไปแล้ว •